วันศุกร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2560

บทความ ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์

บทความเรื่อง   ห้องสมุดออนไลด์(ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์)  
E-Library”




                               ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ รูปห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์

 แหล่งการเรียนรู้ที่สำคัญของคนเรา นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน คือ ห้องสมุด เนื่องห้องสมุดเป็นแหล่ง รวบรวมสารสนเทศทุกรูปแบบ  ทั้งที่เป็นวัสดุตีพิมพ์  และวัสดุไม่ตีพิมพ์   เพื่อให้ผู้ใช้ได้ค้นคว้าตอบสนองตามความต้องการ ด้วยสภาพปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศ เข้ามามีบทบาทต่อการดำเนินชีวิต ในทุกๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นทางด้าน การศึกษา   เศรษฐกิจ  สังคม  ซึ่งจากการพัฒนาทางเทคโนโลยีสารสนเทศ   ทำให้ความรู้ต่างๆ ถูกนำเข้าสู่ระบบดิจิตอลมากขึ้นด้วยห้องสมุดซึ่งเป็นหน่วยงานที่จะต้องให้บริการทางด้านสารสนเทศอยู่แล้ว  จึงจำเป็นอย่างที่สุดที่จะต้องมีการพัฒนาปรับเปลี่ยนเพื่อให้มีศักยภาพแห่งการเรียนรู้มากยิ่งขึ้นสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในยุคปัจจุบันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการจัดการข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบดิจิตอลเพื่อความสะดวกและรวดเร็วในการนำข้อมูลนั้นมาใช้     ก่อให้เกิดการประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย เพิ่มความสามารถในการเรียนรู้ข้อมูลข่าวสาร ได้ครบถ้วน รวดเร็ว จากเหตุผลดังกล่าว ห้องสมุดส่วนใหญ่ในปัจจุบัน จึงได้มีการปรับเปลี่ยนตัวเองไปสู่ระบบห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ มากขึ้น
          ความหมายของ  E-Library 
น้ำทิพย์ วิภาวิน  (2545 ;3) ได้ให้ความหมายของห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ไว้ว่า    E-Library  มาจากคำว่า  Electronic  Library  หรือห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์  หมายถึง  แหล่งความรู้ที่บันทึกข้อมูลไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่ายและให้บริการสารสนเทศทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต  ในลักษณะผสมผสานการทำงานของระบบห้องสมุดอัตโนมัติ  ห้องสมุดดิจิตอลและห้องสมุดเสมือน

ลักษณะของห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ 
                น้ำทิพย์ วิภาวิน (2545 :9) ได้กล่าวถึงลักษณะของห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ว่า ลักษณะการทำงานของห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ เป็นการใช้เทคโนโลยีในห้องสมุด ประกอบด้วย
1. การคัดเลือกเพื่อพัฒนาทรัพยากร  ( Selection to create a collection)
2. การจัดการหรือจัดหมวดหมู่เพื่อพัฒนาทรัพยากร( Organization to enable access)
3. การอนุรักษ์ทรัพยากรเพื่อความต่อเนื่องในการใช้งานในอนาคต ( Preservation for ongoing use )
4. การบริการข้อมูลตามความต้องการของผู้ใช้ ( Information services for users,need)

ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์มีการทำงานของระบบต่างๆ ดังนี้ 
1. ห้องสมุดดิจิตอล 
                องค์ประกอบของการพัฒนาห้องสมุดดิจิตอล ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ ( Hardware) โปรแกรมคอมพิวเตอร์ (Software) บุคลากร (Staff) และทรัพยากรที่จัดเก็บในรูปดิจิตอล (Collection) ซึ่งทำให้การจัดทำระบบสารสนเทศห้องสมุด มีลักษณะดังต่อไปนี้
  1. มีทรัพยากรที่เป็นข้อมูลอยู่ในรูปดิจิตอลเรียกว่า digital objects ได้แก่ข้อมูลที่เป็นตัวอักษร รูปภาพ เสียง และภาพเคลื่อนไหว (Language –based , Image –based , Sound-based , Motion-based) จัดเก็บไว้ในแหล่งจัดเก็บข้อมูล (Repository) ซึ่งเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์หลักที่ใช้จัดเก็บข้อมูล (Server)
  2. มีการบริหารจัดการในลักษณะขององค์กร เช่นเดียวกับการจัดการห้องสมุดโดยมีการคัดเลือก การจัดการ การจัดเก็บข้อมูลไว้ในฐานข้อมูล การเผยแพร่ข้อมูล และมีเครื่องมือช่วยค้นที่ให้ความสะดวกแก่ผู้ใช้
  3. มีการใช้เทคโนโลยีในการสร้างข้อมูล การจัดเก็บ การเผยแพร่ผ่านระบบเครือข่าย
  4. มีการบริการข้อมูลในลักษณะการใช้ข้อมูลร่วมกัน (fair use)
  5. มีการแนะนำการใช้ข้อมูลแก่ผู้ใช้และการอ้างถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
  6. มีวัฏจักรของการพัฒนาห้องสมุดดิจิตอล ได้แก่ การสร้างข้อมูลดิจิตอล (Creation) การเผยแพร่ข้อมูล (Dissemination) การใช้ข้อมูล (Use) และการอนุรักษ์ข้อมูล (Preservation) 
                
2.   ห้องสมุดเสมือน 
                คำว่า virtual ใช้ในการเชื่อมโยงข้อมูลในหัวข้อหรือเรื่องใดเรื่องหนึ่งจากที่ต่างๆมาไว้ที่หน้าจอเดียวกัน ได้มีผู้ให้คำจำกัดความของห้องสมุดเสมือน ในหลายความหมายได้แก่
-ห้องสมุดเสมือนเป็นกลุ่มของข้อมูลที่เชื่อมโยงกันในเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยจัดเก็บข้อมูลไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่าย( Server) เพื่อให้บริการการเชื่อมโยงข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต
-ห้องสมุดเสมือนไม่ได้เป็นโครงสร้างหรืออาคารห้องสมุดแห่งใดแห่งหนึ่งที่มี การบริการจัดการโดยเอกเทศ แต่เป็นโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงทรัพยากร บุคคล เป้าหมาย และความสนใจของกลุ่มบุคคลเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อให้ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลได้สะดวกและรวดเร็ว 
-ห้องสมุดเสมือนไม่ได้มีข้อมูลในห้องสมุดแห่งใดแห่งหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นการรวมข้อมูลจากหลายแห่งโดยที่ผู้ใช้ที่อยู่ไกลสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลได้รวดเร็ว 
-ห้องสมุดเสมือนจึงเป็นห้องสมุดในจิตนาการที่มีความสามารถในการจัดเก็บข้อมูลรายการบรรณานุกรมและเอกสารจำนวนมากไว้ในสื่ออิเล็กทรอนิกส์มาเชื่อมโยงกันผ่านระบบเครือข่าย 
ลักษณะเด่น ของห้องสมุดเสมือน คือ ความรวดเร็วในการเข้าถึงข้อมูล ( Accessibility) ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้โดยไม่จำกัดเวลาและสถานที่
ข้อจำกัด ของห้องสมุดเสมือน คือ ต้องใช้เนื้อที่ในการจัดเก็บข้อมูลจำนวนมากและต้องมีโปรแกรมการสืบค้นข้อมูลที่มีประสิทธิภาพสูง และมีเครื่องคอมพิวเตอร์ ที่มีความสามารถในการบันทึกข้อมูลทุกรูปแบบ โดยมีลักษณะของข้อมูลที่เคลื่อนย้ายได้ง่าย 


3.  ห้องสมุดอัตโนมัติ 
                ระบบห้องสมุดอัตโนมัติ เป็นการจัดระบบสารสนเทศในห้องสมุด ซึ่งประกอบด้วยส่วนของการทำงานใน 6 โมดูลหลักๆ ได้แก่ 
·       ระบบงานจัดหา ( Acquisition)
·       ระบบงานวิเคราะห์หมวดหมู่และลงรายการ ( Cataloging)
·       ระบบงานวรสารและเอกสาร ( Serial  Control ) 
·       ระบบงานบริการยืม - คืน ( Circulation)
·       ระบบงานสืบค้นรายการทรัพยากร ( Online Public Access Catalogy) และ 
·       การควบคุมระบบ ( Library system administrator)

จากที่กล่าวมาทั้งหมด  สรุปได้ว่าแนวโน้มของห้องสมุดในอนาคตจะเป็นศูนย์รวมความรู้หรือจุดเชื่อมโยงความรู้ที่อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่าย ( Server )  มีการบริการข้อมูลในลักษณะ One-stop-shop of information  เป็นการกระจายข้อมูลที่อยู่ตามแหล่งต่างๆ  เชื่อมโยงมาที่หน้าจอเดียวที่ผู้ใช้ได้รับความสะดวกในการค้นหา  โดยห้องสมุดยุคใหม่เน้นการจัดการข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น  มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเครื่องมือในการดำเนินงานห้องสมุด  และมีการเข้าถึงเนื้อหาข้อมูลผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
เนื้อหาเพิ่มเติม คลิกที่https://www.youtube.com/results?

บทความ เรื่องการใช้อินเตอร์เน็ตของคนสมัยนี้

 เรื่อง การใช้อินเตอร์เน็ตของคนสมัยนี้

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ รูปภาพอินเตอร์เน็ต
          อินเตอร์เน็ตถือได้ว่ามีความสำคัญต่อโลกปัจจุบันยิ่ง  เพราะในโลกยุคสมัยนี้เป็นยุคของการเร่งรีบ รีบที่จะไปทำงาน รีบที่จะไปเรียนจนไม่มีเวลาพักผ่อนและยังทำให้ไม่มีเวลาที่จะไปทำอย่างอื่นเลย  ทางไหนที่สามารถทำให้เราเกิดความสะดวกสบาย ใช้เวลาน้อยที่สุด เราก็พยายามไขว่คว้า  สรรหามา เพื่อสนองความต้องการของตัวเอง
การใช้เทคโนโลยีจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถทำให้เราใช้ชีวิตได้ง่ายๆ  และเพิ่มความสะดวกสบายกับชีวิต
ในการใช้เทคโนโลยีของคนสมัยนี้จะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีมีอิทธิพลต่อชีวิตเรามากขึ้นเรื่อยๆ  นับวันโลกก็ยิ่งพัฒนาขึ้นทุกวัน ผู้คนจึงให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยี  การใช้อินเทอร์เน็ตจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งแก่ผู้คนเพราะจากแต่ก่อนผู้คนอาจไม่ค่อยให้ความสำคัญกับมันมากนัก  แต่เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีอาจเป็นสิ่งที่เราต้องการ  หรืออาจจะพูดได้ว่าเทคโนโลยีอาจเป็นปัจจัยห้าที่เราต้องการในชีวิตก็เป็นได้
          การใช้เทคโนโลยีที่สามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต  เป็นที่นิยมมากของคนในยุคนี้สาเหตุหลักๆอาจจะเป็นเพราะการใช้งานง่าย  ใช้ระยะเวลาสั้นๆ อยู่ที่ไหนก็สามารถใช้งานได้โดยไม่เสียเวลา  การใช้งานมีการอาจเป็นลักษณะของการสื่อสารพูดคุยสนทนากัน หรือแชต ซึ่งอาจเปรียบได้ว่าเหมือนเราไปห้องประชุมหรือเวทีกว้างๆที่สามารถพูดคุยสนทนากับใครก็ได้  แม้อาจจะอยู่ห่างไกลกันก็สามารถพูดคุยพิมพ์ข้อความสนทนากันได้ เช่น Facebook ซึ่งเป็นที่นิยมกันแพร่หลายของยุคสังคมสมัยนี้
          การส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์หรือE-mail ก็เป็นที่นิยมมากเหมือนกัน  เพราะถึงแม้ว่าจะอยู่ห่างกันคนละซีกโลกแต่เราก็สามารถส่งจดหมายถึงกันได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ไม่เสียเวลา ข้อความที่ส่งไปก็รวดเร็วทันใจเพียงแค่ไม่กี่วินาทีก็ถึงผู้รับแล้ว
          การใช้อินเตอร์เน็ตก็ยังเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่สามรถโปรโหมดโฆษณาการขายสินค้าหรือการทำธุรกิจ
โดยที่เราไม่จำเป็นต้องหาที่หรือเช่าที่ให้เสียเวลา แถมประหยัดค่าใช้จ่ายการซื้อ-ขายก็ง่าย ใครที่สนใจสินค้าทางอินเตอร์เน็ต ก็สามารถจ่ายผ่านทางช่องตู้ ATMหรือผ่านทางบัตรเครดิต  ซึ่งปัจจุบันนี้ก็มีสินค้ามากมายที่มีขายอยู่บนอินเตอร์เน็ต อาทิ เสื้อผ้าแฟชั่น รองเท้าแฟชั่น หนังสือทั่วไป งานแฮนด์เมด เป็นต้น
          อินเตอร์เน็ตยังเป็นที่รวบรวมข่าวที่ใหญ่ที่สุด และเราก็ยังสามรถแลกเปลี่ยนข่าวสารความรู้หรือแสดงความคิดเห็นได้อีกด้วย
           การสืบค้นข้อมูลโดยเว็บไซด์ต่างๆ สามารถทำได้ง่าย รวดเร็ว ทันใจโดยที่เราไม่จำเป็นต้องไปค้นคว้าในห้องสมุดอย่างเดียวเหมือนแต่ก่อน  เช่น Google เป็นเว็บที่คนทั่วไปจะใช้บ่อยที่สุด  อยากรู้เรื่องอะไรก็แค่พิมพ์ และคลิกเข้าไป เท่านี้เราก็ได้ข้อมูลต่างๆที่เราอยากรู้แล้ว  และอินเตอร์เน็ตก็ยังมีบริการด้านความบันเทิงในทุกรูปแบบต่างๆ เช่น เกมส์ เพลง รายการโทรทัศน์ รายการวิทยุ เป็นต้น  เราสามารถเลือกใช้บริการเพื่อความบันเทิงได้ตลอด24ชั่วโมงและจากแหล่งต่างๆทั่วทุกมุมโลก ทั้งประเทศไทยและต่างประเทศ เป็นต้น
          แต่ในการเทคโนโลยีประเภทอินเตอร์เน็ตก็ไม่ได้มีแต่ข้อดีเสมอไปเพราะการใช้อินเตอร์ถ้าใช้ไม่ถูกวิธีก็อาจจะเกิดผลเสียแก่ตนเองและผู้อื่นได้เหมือนกัน อย่างเช่น  คนที่เป็นอินเตอร์เน็ตนานๆติดต่อกันทุวันก็อาจจะทำให้เป็นโรคติดอินเตอร์เน็ตได้เหมือนกัน  ซึ่งอาจเป็นสิ่งเสพติดที่ขาดอินเตอร์เน็ตไม่ได้ มีการหมกมุ่นอยู่กับอินเตอร์เน็ต
เวลาไม่ได้เล่นรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก และไม่สามารถควบคุมตัวเองได้  มีความต้องการใช้อินเตอร์เน็ตอยู่ตลอดเวลาและต้องการเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ  เช่น  ผู้ที่ติดเกมส์อินเตอร์เน็ต ซึ่งจะมีความอยากหรือต้องการเล่นเกมส์ตลอดเวลามีผลกระทบทางสมองที่อาจทำให้เป็นคนก้าวร้าว หรือมีนิสัยขี้ลักขโมย  อาจเป็นภัยต่อสังคมได้
เนื้อหาเพิ่มเติมที่นี่ คลิกhttps://www.youtube.com/results?

บทความ สุขสันต์วันปีใหม่

สุขสันต์วันปีใหม่


          โลกนี้เป็นที่รวมของคนมีกิเลส ไม่ว่าหญิงหรือชาย ล้วนมีกิเลสครอบงำเต็มไปด้วยความโลภ โกรธ หลง  เมื่อกิเลสกำเริบแข็งกล้าดวงปัญญาก็มืดมิด  มองไม่เห็นหนทางแห่งความดีงาม  ความเร่าร้อนก็บังเกิดขึ้น  อยากมีอำนาจครอบครองทรัพย์สมบัติ  โดยทุจริตมิชอบ  อยากทำตามอำนาจใจตนเองไม่เคารพกฏหมายบ้านเมือง
ช่วงใกล้วันปีใหม่ขึ้นศักราชใหม่ ประเทศไทยของเรากำลังเร่าร้อน ด้วยความคิดเห็นขัดแย้งกันในทางการเมือง หลายคนเป็นกังวลใจมาก จนนอนไม่หลับก็มี
แต่ถ้าเรารู้จักรักษาใจให้หยุดนิ่ง เป็นสมาธิได้ตลอดเวลา ด้วยการนั่งสมาธิวางใจไว้ที่ศูนย์กลางกาย จะมีความเย็นมาจากภายใน  ทำให้จิตใจมั่นคง ไม่หวั่นไหว ต่อสถานการณ์ใดๆ ที่จะเกิดขึ้น และใจก็ไม่เร่าร้อนตาม
ลองหันกลับมาพิจารนาตนเองจะดีกว่า ตลอดปี พ.ศ 2556 ที่ผ่านมา มีสิ่งใดที่เป็นข้อพกพร่องทั่งเรื่องของการทำงาน และนิสัยของเราเอง ที่จะต้องเปลี่ยนแปลง แก้ไขปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น แล้วตั้งใจมั่นลงไปว่า เพื่อความเป็นสิริมงคลของชีวิต เราต้องสร้างบุญกุศลเพิ่มพูน ให้มากกว่าปีที่แล้ว ตั้งผังชีวิตลงไปว่า
นับตั้งแต่วันนี้จากที่เคยนั่งสมาธิไม่สม่ำเสมอ ก็จะนั่งสมาธิทุกวันอย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมง สมาธิย่อมเป็นที่มาของดวงปัญญารุ่งโรจน์ จากไม่เคยรู้จักรักษาศีล ก็ตั้งผังชีวิตลงไปเลยว่า อย่างน้อยทุกวันพระ จะรักษาศีล 5 ให้บริสุทธิ์ หรือรักษาศีล 5 โดยปกติอยู่แล้ว ก็ยกระดับใจของตน ขึ้นโดยรักษาศีล 8 ทุกวันพระ คนที่รักษาศีล 5 ได้เป็นปกติตลอดชีวิต ย่อมเป็นผู้มีอายุยืนยาว เพราะไม่ได้เบียดเบียนทำร้ายใคร ย่อมเป็นที่ยกย่องไว้วางใจ ศีลจึงเป็นที่มาของโภคทรัพย์ ใครๆ ก็วางใจให้คอยดูแลทรัพย์ หรือเต็มใจที่จะลงทุนทำกิจการค้าขายด้วย
จากที่ไม่เคยรู้จักการให้ ก็ตั้งใจที่จะบริจาคทาน รู้จักแบ่งปัน การช่วยเหลือกันยามวิกฤตการณ์ เหมือนชายชาติทหารผู้หนึ่งที่มีน้ำใจ ขับมอเตอร์ไซต์ ไปส่งพระภิกษุถึงวัด เพราะไม่อยากเห็นท่านเดินผ่านผู้ชุมนุม ผ่านกลางเสียงเป่านกหวีด เขาส่งพระภิกษุรูปนั้นโดยปลอดภัย เขาอาจจะเสียเวลา ต้องออกนอกเส้นทางเลี่ยงถนนที่ผู้ชุมนุมแออัด ใช้เวลาผ่านไปมากกว่าจะถึงที่หมาย แต่คุ้มค่ากับอานิสงฆ์ผลบุญแม้เขาจะรู้หรือไม่รู้ตาม กล่าวคือ เขาจะเดินทางไปไหนสะดวกปลอดภัยในทุกที่ เมื่อเจอวิฤตการณ์ในชีวิต ก็จะมีผู้ยืนมือมาคอยช่วยเหลือ เขาจะมียานพาหนะที่ดีเลิศในพบชาติต่อไป เมื่อนั่งสมาธิก็จะเข้าถึงธรรมโดยง่ายไม่ติดขัด เพราะบุญจากการอนุเคราะห์ผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ถึง 227ข้อ และถ้าพระภิกษุรูปนั้นปราถนาพุทธภูมิมีวิสัยพระโพธิสัตว์ ผลบุญที่เขาเต็มใจกระทำจะช่วยให้ ยามเจอเคราะห์กรรม ก็จะช่วยผ่อนหนักให้เบา ให้ชีวิตเขายืนยาวไปได้อีกหลายปี
ความดีแม้เพียงเล็กน้อย อย่าละเลยที่จะกระทำ เพราะหากกระทำถูกเนื้อนาบุญอันเลิศ ก็จะได้รับผลบุญจักนับประมาณ เหมือนเทพธิดานางหนึ่ง สมัยเป็นมนุษย์ เธอมีศรัทธาเก็บดอกบวบสีเหลืองอร่ามพนมน้อมบูชา จิตมุ่งตรงต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ระหว่างที่เดินทางไปเฝ้าพระบรมศาสดา ถูกวัวขวิดชีวิตดับไปบังเกิดเป็นเทพธิดาชั้นดาวดึงส์ ได้ครอบครองวิมานทองเหลืองอร่าม เพราะจิตเธอเป็นมหากุศล
วันขึ้นปีใหม่  จึงเป็นวันที่ต้องสร้างความเป็นศิริมงคลให้แก่ตนเอง ครอบครัว และประเทศชาติ ด้วยการพาคุณพ่อคุณแม่หรือคนที่รัก ไปทำบุญ ถวายภัตตาหารที่วัดไกล้บ้าน หรือวัดที่เราศัรทธา ช่วงวันส่งท้ายปีเก่าส่งท้ายศักราช ด้วยการนั่งสมาธิต้อนรับปีใหม่ อธิษฐานจิตให้สิ่งที่ดีเกิดขึ้นกับชีวิต ภัยวิษัติมลายหายสูญ แผ่กระแสเมตตาขอให้คนไทยรักสมัครสมานฉันท์ ได้ผู้ปกคลองผู้บริหารประเทศ ที่มีเมตตาธรรม ไม่ลำเอียงด้วยอคติ 4  คือเอียงเพราะรัก  เอียงเพราะชัง  เอียงเพราะโกธร  และเอียงเพราะหลง
วันขึ้นปีใหม่ไม่ฉลอง ด้วยการเสพของมึนเมาอย่างเหล้าเบียร์ นั่นคือการกระทำอัปมงคลให้แก่ตนเองจิตหมองขุ่นมัวด้วยเสพของที่ผิดศีลธรรม กายใจไม่บริสุทธิ์ หากลมหายใจติดขัด ชีวิตดับไปตอนที่กำลังสนุกสนานเมามาย ชีวิตก็จะติดลบทันที มุ่งไปสู่อบาย เพราะชีวิตตายแล้วไม่สูญ
มาเติมชีวิตใหม่ด้วยพลังบุญกุศลดีกว่า  ชีวิตจะรุ่งเรืองตลอดไป  เพราะรู้จักเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยความมีศิริมงคล  
เนื้อหาเพื่อมเติม คลิกที่นี่ https://www.youtube.com/results?

บทความพิเศษวิเคราะห์การเมืองเศรษฐกิจสังคมไทย


บทความพิเศษวิเคราะห์การเมืองเศรษฐกิจสังคมไทย




บทวิเคราะห์ สถานการณ์สังคมการเมืองไทย (โดยสังเขป)
(เอกสารประกอบการสัมมนาขบวนการหนุ่มสาวเพื่อสังคม หรือ กลุ่มยังเตริร์กส)
จินตภาพสังคมไทย
      ๒๘มีนาคม ๒๕๕๑, เกษียร เตชะพีระ เขียนบทความลงมติชนรายวัน เรื่อง แนวโน้มสถานการณ์ในอนาคต: ระบอบจินตภาพสังคมการเมืองไทยในปัจจุบันน่าสนใจว่า สถานการณ์การเมืองไทยจะยังอึมครึมและยืดเยื้อคัดง้างค้างคาเช่นนี้ต่อไปอีก นาน ตราบเท่าที่เงื่อนไขพื้นฐานและคู่ขัดแย้งหลักยังไม่เปลี่ยนแปลงพลิกผันไปทาง ใดทางหนึ่ง นั่นก็คือความขัดแย้งของระบอบการเมืองการปกครองไทยระหว่าง ประชาธิปไตยแบบไม่เสรี vsเสรีประชาธิปไตยครึ่งใบ
ประชาธิปไตยไม่เสรีหรือประชาธิปไตยอานาจนิยม ก็คือฐานะของการเมืองไทยที่ถูกผูกขาดครอบครองโดยชนชั้นนาทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมไทยในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข(Constitution Monarchy) โดยผ่านนักเลือกตั้ง และเจ้าพ่อท้องถิ่นในการสร้างเครือข่ายธุรกิจการเมืองและอิทธิพล เกษียรเห็นว่ารูปของทิศทางนี้ใช้ ระบอบเลือกตั้งธิปไตยบัญญัติอานาจเบ็ดเสร็จ ผ่านการเลือกตั้งและพรรคการเมืองโดดๆ ด้านเดียว ทว่ากลับละเลยหรือล่วงละเมิดหลักสิทธิเสรีภาพและหลักนิติธรรมไปเสีย ซึ่งเป็นเนื้อหาสาคัญของระบอบประชาธิปไตยด้วยเช่นกัน
เสรีประชาธิปไตยครึ่งใบ ก็คือ การให้อานาจพลังข้าราชการในระบบอานาจ ๓ฝ่าย คือ ตุลาการ นิติบัญญัติ และฝ่ายบริหาร ทับซ้อนกันโดยไม่สัมพันธ์เชื่อมโยงฐานที่มาของอานาจนั้นกับประชาชนตาม หลักการของประชาธิปไตย ซึ่งย่อมขัดกับหลักสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง เพื่อให้พลังระบบราชการ คัดง้าง ต่อรอง ถ่วงดุล ทางอานาจ กับฝ่ายทุนนิยมโลกาภิวัตน์ ดังสมัยพล..เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี จนกระทั่งปัจจุบันภายใต้การออกแบบรัฐธรรมนูญฉบับประชามติ พ..๒๕๕๐ที่กลไกอธิปไตยของประชาชนทับซ้อนกันโดยการขยายบทบาทอานาจตรวจสอบถ่วงดุลของ บรรดาสถาบันที่ไม่ได้มาจากเสียงข้างมากหรือเชื่อมโยงกับประชาชน
ขณะที่โครงสร้างทางอานาจยังเป็นของชนชั้นนา ของนักการเมืองอาชีพที่หากินทางอานาจกับนายทุน หรือกระทั่งเป็นคนๆ เดียวกัน ซึ่งทาให้โครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ผ่านมา ถูกผูกขาดความมั่งคั่งโดยชนชั้นนา ดังปัญหาความเหลื่อมล้าทางสังคมเป็นที่ประจักษ์ ช่องว่างคนจน-คนรวยถ่างกว้างเป็นอันดับต้นๆ ของโลกเพราะปัญหาการกระจายรายได้ไม่เป็นธรรม หนาซ้ายังไม่มีโครงสร้างการเก็บภาษีทรัพย์สินคืนแก่รัฐที่เป็นธรรมในอัตรา ก้าวหน้าอีกด้วย แน่นอน ทั้งหมดนี้เพราะชนชั้นนาทางการเมืองไทย บริหารประเทศ, ออกกฎหมาย, กาหนดนโยบาย เพื่อผลประโยชน์ทางชนชั้นของพวกเขา จนเกิด เศรษฐกิจ-ผูกขาดโดยชนชั้นนา, สังคม-อุปถัมภ์และอภิสิทธิ์แบบอานาจนิยม, วัฒนธรรม-บริโภคทุนนิยมและความแปลกแยกทางชนชั้นและ
นี่คือจินตภาพของโครงสร้างสังคมไทยที่เป็น ระบอบทุนนิยมประชาธิปไตยแบบไม่เสรีที่ถูกรุกคืบโดยทุน ผูกขาดทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง ในความเห็นของผม
ดังนั้น ความขัดแย้ง-ความรุนแรงทางสังคม นอกจากในรูปของการเอาเปรียบแรงงาน เรามักพบเห็นได้ทั่วไปใน รูปของกลุ่มนายทุนผนวกรัฐ กระทาการ รังแก ละเมิด เบียดเบียน แย่งชิงผลประโยชน์ของชุมชน สังคม ใน รูปแบบของสงครามการแย่งชิงทรัพยากร ผ่านโครงการและนโยบายสาคัญๆ ของรัฐบาลนายทุนเสมอมา ทั้งหมดนั้น เพราะชนชั้นล่างทางสังคมไทย ผู้ด้อยโอกาส กรรมกร เกษตรกร ชาวนา ชาวไร่ คนจนเมือง ไม่เคย เข้าไปสู่อานาจรัฐเพื่อจัดการผลประโยชน์ของตนเอง (มีบ้างที่เข้าไปในอานาจรัฐส่วนปกครองท้องถิ่น แต่ก็ กลายเป็นฐานของเครือข่ายอุปถัมภ์ของกลุ่มทุนนักการเมือง) ไม่ผิดที่เราจึงตกเป็นผู้ตั้งรับเสมอมา
เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น เหตุใดความพยายามของชนชั้นล่างในการเข้าสู่อานาจรัฐจึงไม่ประสบความสาเร็จ ไม่ว่า จะในการต่อสู้ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย พรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย หรือพรรคของฝ่าย ประชาชนที่ผ่านมา
ปัญหาสาคัญก็คือ การสถาปนาอานาจรัฐกึ่งถาวรของชนชั้นนาที่ผ่านมานั้นทาให้ประเทศไทยปกครอง ด้วยระบอบประชาธิปไตยที่ไม่จริงนะครับในปัจจุบัน ในโครงสร้างทางเศรษฐกิจ สังคมและ วัฒนธรรมจึงไม่เป็นประชาธิปไตยด้วย ต่างประเทศเขาเรียกเราว่า ปกครองระบบ “Constitution Monarchy” ๗๕ปีที่ผ่านมาจึงค่อนข้างโน้มเอียงไปทางลัทธิรัฐธรรมนูญนิยม ด้วยการจัดวางความสัมพันธ์ ทางอานาจของชนชั้นนาเชิงกลไก มากกว่า ประชาธิปไตยเชิงเนื้อหาของประชาชนที่แท้จริง ทั้งนี้คา ว่า ประชาธิปตัยในประเทศไทยเอง ในสมัยรัชกาลที่ ๗ก็มีความหมายถึง “Republic” นะครับ ถ้าไปดู เอกสารเก่าๆ ไม่ใช่ประชาธิปไตยในความหมายปัจจุบันซึ่งถูกบิดเบือน ซึ่งภายใต้โครงสร้างอานาจแบบนี้ ทุนนิยมประชาธิปไตยแบบไม่เสรี หรือ เสรีประชาธิปไตยครึ่งใบ ก็ตาม ต่างก็เติบโตได้ดี โดยการแย่งชิง พื้นที่ระบบอุปถัมป์นิยมเพื่อยึดโยงอานาจของตนเอง แต่พลังภาคประชาชนไม่สามารถเติบโตได้ เนื่อง เพราะไม่สามารถเป็นอิสระจากรัฐและทุนได้อย่างแท้จริงภายใต้โครงสร้าง นี้ ซึ่งนั่นรวมถึง อุดมการณ์ทาง การเมืองทางเลือกสายธารความคิดสังคมนิยม จึงไม่มีพื้นที่อยู่ในสังคมด้วยเช่นกัน ประเทศไทยจะเป็น ประชาธิปไตยได้อย่างไรในเมื่อสังคมไม่อนุญาตให้อุดมการณ์ ทางการเมืองนอกจากระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขมีพื้นที่ทางสังคมได้
สังคมประชาธิปไตยน่าจะหมายถึง สังคมที่อนุญาตให้พลเมืองมีที่อยู่ทางความคิดหรืออุดมการณ์ทางการเมืองที่ เห็นต่างได้ ประชาชนสามารถเลือกจุดยืนทางสังคมและอุดมการณ์ทางการเมืองของตนเองได้ ไม่ว่าจะเป็น แนวคิดใด สังคมนิยม ทุนนิยม เสรีนิยม คอมมิวนิสต์ ราชานิยมหรือศาสนานิยมก็ตาม เพราะประชาธิปไตยที่ แท้จริงแล้ว ก็คือ การที่อุดมการณ์ทางการเมืองของพลเมือง สามารถมีที่อยู่-ที่ยืน มีพื้นที่ของตนเองอยู่ในสังคม ได้นั่นเอง..
รัฐประหาร ๑๙กันยายน ๒๕๔๙
แม้หลายคนจะคาดหวังว่าการพัฒนาประชาธิปไตยและการปฏิรูปการเมืองจะเดินไปข้าง หน้า แต่สังคมไทยก็ยังคงตกอยู่ภายใต้ความขัดแย้งทางอานาจของชนชั้นนาเหมือนเดิม เมื่อชนชั้นนาตกลงผลประโยชน์กันไม่ได้ก็ฉีกเครื่องมือในการจัดวางความ สัมพันธ์ทางอานาจคือ รัฐธรรมนูญในเหตุการณ์ ๑๙กันยายน ๒๕๔๙ดังที่ ศ.ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ เคยกล่าวถึงสังคมไทยว่า เมื่อชนชั้นนาตกลงผลประโยชน์กันไม่ได้ หญ้าแพรกก็แหลกราญ”.. นั่นหมายถึงประชาชนตกเป็นผู้ถูกกระทาเสมอไป ทั้งยังเป็นผู้ถูกหยิบอ้างด้วย,
การปฏิรูปการเมืองจะยังคงย่าวนอยู่กับที่ หากคาตอบมิได้อยู่กับประชาชนชนชั้นล่างทางสังคม ซึ่งไม่เคยได้อะไรจากความขัดแย้งและการรัฐประหารหรือรัฐธรรมนูญของชนชั้นนา แต่อย่างใด ท่ามกลางความขัดแย้งนี้ภาคประชาชนยังถูกแบ่งแยกหลวมๆ เป็น ๒ฝ่าย ไม่นิยมระบอบทักษิณหรือประชาธิปไตยเสรีนิยม ก็ซมซบอยู่กับเผด็จการทหาร ส่งผลมาถึงรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ด้วย โดยปราศจากพื้นที่หรือทางเลือกอื่นใดในการต่อสู้ นั่นเพราะเราไม่มีพลังในการต่อรองทางอานาจมากเพียงพอ ที่จะปฏิเสธทั้งระบอบทักษิณและคัดค้านการรัฐประหารโดยคณะมนตรีความมั่นคง แห่งชาติ(คมช.) ได้ ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งทางอานาจของชนชั้นนา ภาคประชาชนจึงยังไม่สามารถเสนอชุดอุดมการณ์ทางการเมืองทางเลือกอื่นๆ อย่างเป็นรูปธรรมได้ นอกจากการคัดค้าน ติดตามตรวจสอบ การเรียกร้องแก้ไขเนื้อหา และหรือการเข้าไปมีส่วนร่วมในการร่างรัฐธรรมนูญของชนชั้นนาแต่เพียงเท่านั้น
ปัญหาวิกฤติการเมืองไทยที่ผ่านมานั้น
ปัญหาหลักมาจากสถานการณ์การผูกขาดอานาจทางการเมืองของชนชั้นนา ซึ่งยังทาให้เกิดการผูกขาดทางเศรษฐกิจ ความเหลื่อมล้ามหาศาลในประเทศไทยในขณะนี้นั้น สังคมไทยต้องตั้งคาถามต่อทิศทางการนาพาประเทศแบบทุนนิยมเสรีที่ขึ้นต่อกลไก ตลาดและกระแสโลกาภิวัตน์เต็มที่นี้ ทาให้เกิดความเหลื่อมล้าทางรายได้อย่างสูง และเป็นปัญหาทางโครงสร้างหลักของความยากจนในสังคมไทยที่ผ่านมา ขณะที่รัฐบาลของทหารและนายทุนก็ไม่เคยเยียวยาปัญหานี้ทางโครงสร้าง โดยเฉพาะการจัดรัฐสวัสดิการและบริการสาธารณะ เช่น การศึกษา การรักษาพยาบาล การประกันการว่างงาน หรือกระทั่ง การยึดคืนสัมปทานของเอกชนที่เป็นสมบัติสาธารณะทางสังคมมาจัดการเพื่อผล ประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ เช่น โทรคมนาคม น้ามันและพลังงาน เป็นต้น
ดังนั้น แม้จะเปลี่ยนผลัดอานาจโดยการรัฐประหารของกองทัพ (๒๕๔๙-๒๕๕๑) สังคมก็ยังคงจ่อมจมกับปัญหาเหล่านี้ต่อไป ท่ามกลางเงื่อนไขทางสิทธิเสรีภาพที่มีมากขึ้นกว่ายุคเผด็จการแบบเก่า แต่ความคาดหวังในการปฏิรูประบบเศรษฐกิจเชิงโครงสร้างใหม่ที่ตั้งคาถามกับ เศรษฐศาสตร์กระแสหลักแต่ให้ความสาคัญ เศรษฐศาสตร์สังคมมาก ขึ้น โดยการลดทอนช่องว่างความเหลื่อมล้า ปฏิเสธเผด็จการทุนนิยมเสรีเบ็ดเสร็จที่ไม่เป็นธรรมต่อคนส่วนใหญ่ จึงยังไม่เกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขใด แม้ในรัฐบาลเฉพาะกาลนั้น หรือรัฐบาลจากการเลือกตั้งภายใต้รัฐสภานายทุนก็ตาม ตราบใดที่ภาคพลเมืองยังไม่เข้มแข็งและรวมตัวกันในการต่อรองทางอานาจ
การผูกขาดอานาจของชนชั้นนาดังกล่าว ยังทาให้ประเทศไทยสูญเสียบรรทัดฐานทางสังคมการเมืองซ้าซ้อน ซึ่งมีที่มาสาคัญจากวัฒนธรรมทางการเมือง และกระบวนการยุติธรรมไทยที่ไม่สามารถทลายวัฒนธรรมการเมืองแบบอานาจนิยมและ อุปถัมภ์นิยมในสังคมไทยได้ จะด้วยการปฏิรูปกฎหมายหรือการบังคับใช้แก่ทุกฐานะทางสังคมอย่างเท่าเทียมก็ ตาม กระบวนการยุติธรรมที่เป็นความหวังและหลังพิงความยุติธรรมโดยปราศจากการ เลือกปฏิบัติทางชนชั้นแห่งอานาจทุกรูปแบบจึงยังไม่สามารถสร้างวัฒนธรรมความรับผิดชอบแก่ผู้มีอานาจทางการเมืองได้
เราจึงไม่เห็นว่า ผู้ที่สั่งฆ่าประชาชนในเหตุการณ์ ๑๗-๒๑พฤษภาคม ๒๕๓๕ทาไมไม่ได้รับโทษทัณฑ์ใดๆ, ญาติผู้สูญหายในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬนายทนงค์ โพธิ์อ่าน๓จังหวัดชายแดนภาคใต้ทนายสมชาย นีละไพจิตร ทาไมไม่ได้รับความยุติธรรมในปัจจุบัน เหตุใดผู้ใช้นโยบายก่อให้เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไม่ต้องรับผิดชอบใน กระบวนการยุติธรรม เหตุการณ์เมษา-พฤษภาเลือด ๒๕๕๓มีคนตายกลางเมืองหลวงมากมายแต่ไม่มีผู้รับผิดชอบ, คงมิพักต้องกล่าวถึงย้อนหลังประวัติศาสตร์อีกมากมาย ตั้งแต่สมัยสฤษดิ์ ธนรัชต์, ถนอม กิตติขจร หรือกระทั่งยุคไม่มีอะไรที่ตารวจไทยทาไม่ได้ ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ในสมัยเผ่า ศรียานนท์ ซึ่งมีการกระทาป่าเถื่อนมากมาย โดยเฉพาะการอุ้มฆ่า ๔รัฐมนตรี และจนบัดนี้ไม่เคยมีใครรับผิดชอบ นับจากก่อนหน้าการรัฐประหาร
ส่วนหนึ่งของปัญหาสาคัญที่นามาสู่สถานการณ์ในปัจจุบันนั้น, ในรายงานความคืบหน้าของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการ ปรองดองแห่งชาติ หรือ คอป.ที่มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน ซึ่งเป็นการรายงานการทางานครั้งที่ ๒ระหว่างวันที่ ๑๗มกราคม -๑๖กรกฎาคม ๒๕๕๔กลับเห็นว่าตั้งแต่การประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ถึงการเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อปี พ..๒๕๕๓คอป.มีข้อสรุปว่า รากเหง้าของปัญหาความขัดแย้งส่วนหนึ่งมาจากกระบวนการที่ละเมิดหลักนิติธรรม กระบวนการประชาธิปไตย กระบวนการบังคับใช้กฎหมายที่ทุกๆ อย่างมีความอ่อนแอและขาดประสิทธิภาพ จนนาไปสู่กระบวนการใช้อานาจนอกระบบในการแก้ไขปัญหา โดยการรัฐประหารซึ่งเป็นการละเมิดหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอย่าง ร้ายแรง ซึ่งแทนที่จะเป็นการแก้ปัญหาแต่ในท้ายที่สุดกลับสร้างปัญหามากยิ่งขึ้น
รายงานฉบับนี้ ระบุว่า
การละเมิดหลักนิติธรรมโดยกระบวนการยุติธรรมอันเป็นรากเหง้าของ ปัญหา เกิดจากกรณีของคาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อปี ๒๕๔๔ในคดีที่ พ...ทักษิณ ชินวัตร ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทา ผิดตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐มาตรา ๒๙๕หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่าคดีซุกหุ้นที่ศาลรัฐธรรมนูญมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักแห่งกฎหมาย กล่าวคือ
ในทางหลักกฎหมายนั้นโดยทั่วไปในการวินิจฉัยคดีไม่ว่าของ ศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลใดๆ ก็ตาม ศาลต้องตั้งประเด็นในประการแรกว่าคดีที่ศาลจะวินิจฉัยชี้ขาดนั้นอยู่ในอานาจ ของศาลหรือไม่ อันเป็นประเด็นในเรื่องเงื่อนไขให้อานาจดาเนินคดี” (Prerequisite for prosecution) ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ต้องพิจารณาก่อน” (prerequisite) และหากศาลเห็นว่าคดีอยู่ในอานาจของศาลแล้วประเด็นที่จักต้องวินิจฉัยต่อไปก็ คือว่า ผู้ถูกกล่าวหาได้กระทาตามที่ถูกกล่าวหาหรือไม่ อันเป็นประเด็นในเนื้อหาของคดีในคดีซุกหุ้นดังกล่าวนี้แม้ศาลรัฐธรรมนูญในขณะนั้นจักได้วินิจฉัยในประเด็นเงื่อนไขให้อานาจดาเนินคดี”(Prerequisite for prosecution) ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ต้องพิจารณาก่อน” (prerequisite) ไว้ถูกต้องแล้ว
โดยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจานวน ๑๑คนเห็นว่าเป็นคดีที่อยู่ในอานาจของศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจานวน ๔คนเห็นว่าคดีดังกล่าวไม่อยู่ในอานาจของศาลรัฐธรรมนูญที่จะวินิจฉัยก็ตามในชั้นพิจารณาชี้ขาดในเนื้อหาของคดีนั้น ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจานวน ๗คน ได้วินิจฉัยว่า พ...ทักษิณ ชินวัตรได้ทาการซุกหุ้นจริง ส่วนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจานวน ๖คน วินิจฉัยว่า พ... ทักษิณ ชินวัตรไม่ได้กระทาผิดในข้อกล่าวหา แต่ที่น่าประหลาดก็คือตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจานวนอีก ๒คนที่เคยลงมติว่าคดีไม่อยู่ในอานาจของศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้ลงไปวินิจฉัย ชี้ขาดในเนื้อหาของคดีแต่อย่างใด เท่านั้นไม่พอศาลรัฐธรรมนูญเองยังได้นาเอาคะแนนเสียง ๒เสียงหลังนี้ไปรวมกับคะแนนเสียงจานวน ๖เสียงที่วินิจฉัยว่า พ... ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้กระทาผิดในข้อกล่าวหาว่าซุกหุ้นแล้วศาลรัฐธรรมนูญได้สรุปเป็นคาวินิจฉัยชี้ขาดยกฟ้อง
การปฏิบัติของศาลรัฐธรรมนูญในคดีดังกล่าวนี้จึงมีความไม่ชอบมาพา กลที่ยากที่ประชาชนทั่วไปจะเข้าใจได้ ทั้งบรรยากาศของบ้านเมืองในขณะนั้นดูจะไม่เอื้อต่อการที่จะทาความเข้าใจใน หลักกฎหมายดังกล่าวนี้ด้วย เพราะกระแสสังคมในบ้านเมืองในระหว่างการดาเนินคดีซุกหุ้นนั้น เป็นไปในทิศทางที่มีการคาดหวังในตัวบุคคลอย่างรุนแรงมากจนทาให้ ศาลรัฐธรรมนูญเกิดหวั่นไหวเลยทีเดียว
การที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ๒คน ไม่วินิจฉัยชี้ขาดในเนื้อหาของคดีก็ดี และการที่ศาลรัฐธรรมนูญเองได้นาเอาคะแนนเสียง ๒เสียงเข้าไปบวกรวมกับคะแนนเสียง ๖เสียงก็ดี เป็นการปฏิบัติที่ผิดหลักกฎหมายโดยแท้ กล่าวคือ ทาให้เกิดความผิดพลาด ๒ประการ คือ เป็นความผิดพลาดของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ๒คนที่ไม่วินิจฉัยชี้ขาดในเนื้อหาของคดีซึ่งเท่ากับเป็นการไม่ทาหน้าที่ ตุลาการของตน เพราะผู้พิพากษาหรือตุลาการนั้นจะไม่ทาหน้าที่ของตนไม่ได้โดยเด็ดขาด และยังเป็นความผิดพลาดของศาลรัฐธรรมนูญเองอีกด้วยที่ได้เอาคะแนนเสียง ๒เสียงไปรวมกับคะแนนเสียง ๖เสียงที่วินิจฉัยว่า พ...ทักษิณ ชินวัตรไม่ได้กระทาความผิดตามข้อกล่าวหา ทาให้ผลของคดีดังกล่าวนี้เป็นผลที่มีความไม่ชอบมาพากล เพราะรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐มาตรา ๓๐๓บัญญัติเหตุแห่งการถอดถอนออกจากตาแหน่งว่าจงใจใช้อานาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายผลของการปฏิบัติที่ผิดหลักกฎหมายของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ๒คน และศาลรัฐธรรมนูญโดยรวมดังกล่าวมานั้น จึงเป็นการบิดเบือนหรือหักดิบกฎหมาย อันเป็นจุดเริ่มต้นที่ทาให้สังคมเกิดความเคลือบแคลงในหลักนิติธรรมของประเทศ ไทยโดยที่ ตั้งแต่ได้เกิดการบิดเบือน
หรือหักดิบกฎหมายขึ้นในคดีที่ พ... ทักษิณ ชินวัตร ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาในคดีซุกหุ้นเมื่อปี ๒๕๔๔นั้น รัฐยังละเลยและไม่ได้เข้าไปตรวจสอบถึงรากเหง้าของความไม่ชอบมาพากลหรือความ ที่น่ากังขาของเรื่องนี้แต่อย่างใด ดังนั้น คอป.จึงขอเสนอแนะให้รัฐและสังคมได้ตรวจสอบการยึดถือปฏิบัติตาม
รัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐
ฐานะของประชาชนในอดีต เราได้เพียงเคยคาดหวังว่า รัฐธรรมนูญจะจัดวางพื้นที่ให้ คือสิทธิพลเมืองและชุมชน บวกกับพื้นที่สิทธิทางเศรษฐกิจ ซึ่งที่ผ่านมาถูกเลือกปฏิบัติในการหยิบใช้ ซึ่งนั่นทาให้เราต้องทบทวนว่า เราไม่อาจหวังให้รัฐธรรมนูญของชนชั้นนามาปฏิรูปการเมืองไทยได้ เพราะเขาจะไม่ยอมปฏิรูปตนเอง ยิ่งการเมืองแตกเป็นสองขั้ว ฝ่ายใดช่วงชิงได้มากกว่าก็เพื่อทาลายฝ่ายตรงข้ามนั่นเอง ดังนั้น รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันก็มุ่งทาลายประสบการณ์ เผด็จการนายทุนในนาม ระบอบทักษิณโดยขั้วทางการเมืองฝ่ายทหารในนาม อมาตยาธิปไตยและภาคประชาชนส่วนหนึ่งที่มีมูลเหตุจูงใจทางการเมืองที่จะสังกัดขั้วทางการเมือง (politicize)ท่ามกลางรัฐธรรมนูญที่ถูกออกแบบมาเพื่อฐานะดังกล่าว ภาคพลเมืองจะหยิบใช้และต่อสู้อย่างไรเพื่อฐานะของตนเอง จึงเป็นสิ่งที่ท้าทายต่อขบวนการภาคประชาชนไทย ที่จะหยิบใช้สถานการณ์อย่างไร
เมื่อพิจารณาความสัมพันธ์ทางอานาจในรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ที่จะยึดโยงว่า อธิปไตยเป็นของปวงชน(ซึ่งหมายถึงเรา)ทั้งในนิยามแห่งอานาจและการปฏิบัติการทางอานาจนั้น เรากลับพบว่า แม้รัฐธรรมนูญจะมีหลายมาตราที่ก้าวหน้าและดีขึ้นเมื่อเปรียบเทียบบางมาตรา ของรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐โดยเฉพาะในหมวดสิทธิเสรีภาพ แต่ที่ล้าหลังไปมากกว่าเก่าในนิยามแห่งอานาจที่กล่าวมานั้น และไม่อาจยอมรับได้ก็คือ
.รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ถ่ายโอนอธิปไตยของปวงชนชาวไทยสู่ระบอบรัฐข้าราชการโดยเฉพาะฝ่ายตุลาการมากเกินไป ในนาม อานาจทางการเมืองทั้งที่ฝ่ายตุลาการควรมีอานาจทางกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมเท่านั้น จนพื้นที่ทางอานาจของประชาชนแทบจะไม่มีหลงเหลืออยู่ในรัฐธรรมนูญ หากนับการถ่ายโอนอานาจของประชาชนแก่ผู้แทนราษฎร(..) และสมาชิกวุฒิสภา(..) บางส่วนเท่านั้น เนื่องเพราะมีการทาลายความสมดุลของอานาจอธิปไตยทั้ง ๓ ฝ่าย คือ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ โดยให้ฝ่ายนิติบัญญัติมาจากการแต่งตั้งส่วนหนึ่ง (.๑๑๑) โดยคณะกรรมการสรรหาซึ่งส่วนใหญ่มาจากฝ่ายตุลาการ ทาให้ความสัมพันธ์ทางอานาจไขว้กันไปมาและตัดทอนอธิปไตยของปวงชนอย่างชัดเจน
การให้มีวุฒิสภามาจากการเลือกตั้ง ๗๖คน อีก ๗๔คนมาจากการแต่งตั้งซึ่งเกือบครึ่งหนึ่งนั้น จะไม่เป็นปัญหามากหากอานาจของวุฒิสภา(..) ไม่มีอานาจในการถอดถอนผู้ดารงตาแหน่งทางการเมืองซึ่งมาจากการเลือกตั้งของ ประชาชน หรือมีอานาจในการกลั่นกรองกฎหมาย ซึ่งเกี่ยวกันกับกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญจานวนมาก รวมทั้งยังมีอานาจหน้าที่ในการแต่งตั้งตาแหน่งสาคัญในองค์กรอิสระตาม รัฐธรรมนูญและองค์กรอื่น ซึ่งทาให้วุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้งมีบทบาทสาคัญสูงในการกาหนดโครงสร้าง ดังที่ ศ.รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ สรุปว่า กลุ่มพลังอามาตยาธิปไตยจะสามารถมากาหนดกฎเกณฑ์ กากับ ตรวจสอบ และควบคุมสังคมการเมืองไทยได้
นอกจากนี้รัฐธรรมนูญฉบับประชามติ ยังให้องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญมาจากกระบวนการสรรหาของฝ่ายตุลาการเป็นส่วน ใหญ่ ทั้งยังต้องผ่านความเห็นชอบหรือกลั่นกรองจากฝ่ายนิติบัญญัติที่ไม่ได้มาจาก การเลือกตั้งด้วยเช่นกัน (กกต. .๒๓๑, ผู้ตรวจการฯ ม.๒๔๓, ... .๒๔๖, กสม. .๒๕๖) ซึ่งทาให้ขัดแย้งหลักอานาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทยตามมาตรา ๓เพราะตัดขาดการยึดโยงอานาจของประชาชน นาพาระบอบประชาธิปไตยรับใช้ รัฐข้าราชการเต็มที่โดยกฎหมายรัฐธรรมนูญ
อย่าลืมว่า ฐานะของภาคประชาชน เราไม่อาจปฏิรูปการเมือง โดยไม่ ปฏิรูปการเมืองเชิงโครงสร้าง” -แห่งอานาจ ที่จะมองเห็นฐานะภาคประชาชนพลเมืองเป็นเจ้าของอธิปไตยได้ในระบบรัฐ และการเมืองบนท้องถนนก็เป็นส่วนกดดันที่จะเติมเต็มฐานะนี้ สังคมไทยถึงจะมี ประชาธิปไตยทางการเมือง และระบบเศรษฐกิจแบบรัฐสวัสดิการได้อย่างแท้จริง
โดยสรุป
. มี การบิดเบือนอานาจอธิปไตยของประชาชน ทั้งในนิยามแห่งอานาจและการปฏิบัติการทางอานาจ โดยยึดเอา อธิปไตยของประชาชนส่วนหนึ่งที่ยึดโยงกับนักการเมืองผ่านการเลือกตั้งมาให้ แก่ข้าราชการตุลาการ โดยการตีความมุมแคบจากประสบการณ์ทางสังคมที่พบว่านักการเมืองเป็นข้าทาสของ นายทุนและใช้อานาจรัฐซึ่งต้องควบคุมเต็มที่ แต่ไม่ได้ตระหนักว่า นักการเมืองคือฐานะหนึ่งของผู้แทนอธิปไตยของประชาชน และไม่ยอมตีความว่า ศาลก็คืออานาจรัฐหนึ่งซึ่งไม่ได้ยึดโยงกับประชาชนแต่อย่างใด จึงนามาซึ่งรัฐธรรมนูญที่สรุปได้ว่า ลดอานาจรัฐ เพิ่มอานาจข้าราชการที่อยู่ของภาคประชาชนคือการให้สิทธิเสรีภาพมากขึ้นแต่มีเงื่อนไขหากมีกฎหมายและพระราชบัญญัติลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามมา
.การนิรโทษกรรมตามมาตรา ๓๐๙ โดยให้บรรดาการใดๆ ที่รับรองตามรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๙ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญนี้ รวมทั้งการกระทาเกี่ยวเนื่องกับกรณีดังกล่าวไม่ว่าก่อนและหลังรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ประกาศใช้ให้ชอบด้วยรัฐธรรมนูญนั้น ซึ่งอาจทาให้รัฐธรรมนูญ ๒ฉบับทับซ้อนทางอานาจกัน และทาให้อานาจของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ตามมาตรา ๓๔ของรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๙ยังคงอยู่ รวมทั้งประกาศของคณะปฏิรูปการปกครองฯ (คปค.) (ตามม.๓๖-๓๗, รธน.๒๕๔๙) ยังมีผลทางอานาจอยู่ โดยตุลาการศาลฎีกาไม่สามารถนามาตีความหรือวินิจฉัยตามหลักนิติธรรมได้อีกต่อ ไปเพราะไปบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ว่าชอบด้วยรัฐธรรมนูญแล้ว ซึ่ง เรื่องนี้เข้าใจว่าเป็นการนิรโทษกรรมตนเองสืบเนื่องเพราะคณะรัฐประหารและผู้ ใช้อานาจสืบเนื่องกลัวการถูกเอาคืนทางการเมือง แม้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ๒๕๔๙จะนิรโทษกรรมให้แล้วก็ตาม แต่การบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญเช่นนี้ นอกจากสะท้อนว่าการเมืองไทยจะไม่มีความสงบอีกพักใหญ่และจะนาพาสังคมสู่ บรรยากาศแห่งการแตกแยกอีกระยะหนึ่งแล้ว อันตรายของรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะทาลายกระบวนการยุติธรรมไทยในอนาคต และทาลายการพยายามจะสร้างบรรทัดฐานทางการเมืองไทยให้เกิดขึ้นด้วยเช่นกัน เพราะไม่สามารถนามาวินิจฉัยในกระบวนการยุติธรรมได้

เนื้อหาเพิ่มเติม คลิกที่https://www.youtube.com/results?

บทความเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ - ไอที

บทความเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ - ไอที




บังเอิญมีคนถามมาหลังไมค์อยากให้อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับอัลกอริทึ่มการทำงานของเฟซบุ๊กที่ใช้ในการแสดงนิวส์ฟีด (News Feed) ดังนั้นโพสต์นี้จะเป็นเนื้อหาต่อเนื่องจากโพสต์ก่อนนี้นะครับที่บอกว่าข้อความนิวส์ฟีดบนเฟซบุ๊กจะทำให้เราใจแคบมากขึ้น ใครไม่ทันก็อ่านในนะครับ (อัลกอริทึ่มของเฟซบุ๊กทำให้คนใจแคบมากขึ้น?)  ซึ่งโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค ก็เป็นอีกหนึ่งในเครื่องมือที่ทรัมพ์ใช้ในการหาเสียงอย่างมีประสิทธิภาพมาก
ลองอ่านดูนะค่ะ เผื่อใครสนใจอยากจะหลุดจากวงจร Echo Chamber หรือห้องสะท้อนเสียงก้องกัน เพื่อไม่ตกเป็นทาสข้อมูลจากเฟซบุ๊ก
เฟซบุ๊กอยากให้นิวส์ฟีดเป็นอย่างไร
หลักคิดของการแสดงนิวส์ฟีดบนหน้าเฟซบุ๊กของผู้ใช้งานแต่ละคนจะเน้นไปที่การแสดงเนื้อหาหรือโพสต์ที่ "เกี่ยวข้อง" กับผู้ใช้งานให้มากที่สุดเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับคนใช้งาน ดังนั้นอัลกอริทึ่มของเฟซบุ๊กจะเลือกเนื้อหาที่ "คิดว่า" ดีที่สุดสำหรับเราจากเนื้อหาโพสต์มหาศาลนับพันในแต่ละวัน ถามว่าทำไมต้องเลือกที่ดีที่สุด ไม่เอามาหมด เพราะว่า 1) คนใช้งานก็คงไม่อยากเสียเวลา scroll down ผ่านเนื้อหาไปเรื่อยๆ จนกว่าที่เจอว่าตัวเองสนใจคืออะไร 2) หน้าจอคอมพิวเตอร์ มือถือ และแทบเล็ตมีจำกัด และ 3) สืบเนื่องจากข้อ 1 และ 2 เวลาแสดงโฆษณาจะได้ไม่หว่านแห แสดงได้ตรงประสิทธิภาพ ทำให้คนลงโฆษณาอยากลง ไม่ต้องเสียคลิ๊กหรือ วิวฟรีๆ
ซึ่งเนื้อหาที่ขึ้นมาบนฟีด เฟซบุ๊กหวังดีช่วยเราจัดอันดับให้เรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ๆ อย่างญาติพี่น้องแต่งงาน ข่าวสารที่เพื่อนๆ นับสิบช่วยกันแชร์ เนื้อหาโฆษณาโดยสินค้า หรือเรื่องน่าเบื่อๆ มีคนบ่นไปวันๆ โดยเฟซบุ๊กจะจัดอันดับเรื่องราวจากเรื่องที่เรากดไลค์ แชร์ คลิ๊ก หรือใช้เวลาในการอ่าน (อย่างที่คุณกำลังอ่านโพสต์ของผมในตอนนี้) ซึ่งสิ่งเหล่านี้ครับ เฟซบุ๊กจะเรียกมันว่า "การมีส่วนร่วม" หรือ Engagement นั่นเอง ซึ่งข้อมูลการแสดงนี้เฟซบุ๊คได้ทำการวิจัยมาเรียบร้อยแล้วว่าคนส่วนใหญ่อยากเห็นเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับตนเองแบบไหน ซึ่งหลักการคือยิ่งเนื้อหาทำให้เราอยากเกี่ยวข้องหรือมีส่วนร่วมมากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งอยากกลับมาใช้เฟซบุ๊คมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งนี่แหละครับคือโอกาสทางธุรกิจของเฟซบุ๊คในการแทรกโฆษณา
ก่อนหน้าจะมาใช้อัลกอริทึ่มสุดยอด
ก่อนหน้าที่เฟซบุ๊คจะปรับอัลกอริทึ่มเพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งาน เฟซบุ๊คพบว่าปัญหาหลักของการใช้งานบนเฟซบุ๊คคือ จำนวนผู้ใช้งานเพิ่มขึ้น ทำให้จำนวนโพสต์การแชร์เพิ่มขึ้นตามเป็นทวีคูณ แต่การดูข้อมูลของผู้ใช้งานแต่ละคนกลับไปเพิ่มเป็นสัดส่วนเดียวกับจำนวนโพสต์ ซึ่งเหตุผลง่ายๆ ก็คือ หน้าจอมีเท่าเดิม เวลาในการดูมีเท่าเดิม ดังนั้นผู้ใช้งานจำนวนมากจะเลื่อนเนื้อหาลงมาเรื่อยๆ แบบรวดเร็ว ซึ่งทำให้ประสบการณ์ของผู้ใช้งานไม่ค่อยประทับใจ ดังนั้นโจทย์ใหญ่ของอัลกอริทึ่มใหม่คือจะทำอย่างไรให้เนื้อหาที่แสดงเป็นเนื้อหาที่มีส่วนร่วมกับไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้งานให้มากที่สุด
รูปภาพข้างล่างคืออัลกอริทึ่มแบบคร่าวๆ ของเฟซบุ๊คในการแสดงเนื้อหานะครับ ซึ่งจะประกอบไปด้วยตัวแปรสี่ตัว คือ 1) ใครเป็นคนโพสต์ หรือเราสนใจอ่านหรือมีปฏิสัมพันธ์กับคนที่โพสต์ขนาดไหน (Creator) 2) ประสิทธิภาพของโพสต์เมื่อเทียบกับโพสต์ของผู้ใช้งานอื่นๆ 3) ประเภทของโพสต์ (Type) เช่น สถานะ รูปภาพ ลิงค์ ที่เราชอบอ่าน และ 4) โพสต์นี้เก่าใหม่แค่ไหน (Recency)
ขอจบตอนที่ 1 ก่อนนะครับ ค่อยมาต่อตอนที่ 2 กันใหม่

 


 เนื้อหาเพิ่มเติม คลิกทีนี่https://www.youtube.com/results?

บทความ ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์

บทความเรื่อง     “ ห้องสมุดออนไลด์(ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์)    E-Library”                                    แหล่งการเรียนรู้...