วันศุกร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2560

บทความพิเศษวิเคราะห์การเมืองเศรษฐกิจสังคมไทย


บทความพิเศษวิเคราะห์การเมืองเศรษฐกิจสังคมไทย




บทวิเคราะห์ สถานการณ์สังคมการเมืองไทย (โดยสังเขป)
(เอกสารประกอบการสัมมนาขบวนการหนุ่มสาวเพื่อสังคม หรือ กลุ่มยังเตริร์กส)
จินตภาพสังคมไทย
      ๒๘มีนาคม ๒๕๕๑, เกษียร เตชะพีระ เขียนบทความลงมติชนรายวัน เรื่อง แนวโน้มสถานการณ์ในอนาคต: ระบอบจินตภาพสังคมการเมืองไทยในปัจจุบันน่าสนใจว่า สถานการณ์การเมืองไทยจะยังอึมครึมและยืดเยื้อคัดง้างค้างคาเช่นนี้ต่อไปอีก นาน ตราบเท่าที่เงื่อนไขพื้นฐานและคู่ขัดแย้งหลักยังไม่เปลี่ยนแปลงพลิกผันไปทาง ใดทางหนึ่ง นั่นก็คือความขัดแย้งของระบอบการเมืองการปกครองไทยระหว่าง ประชาธิปไตยแบบไม่เสรี vsเสรีประชาธิปไตยครึ่งใบ
ประชาธิปไตยไม่เสรีหรือประชาธิปไตยอานาจนิยม ก็คือฐานะของการเมืองไทยที่ถูกผูกขาดครอบครองโดยชนชั้นนาทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมไทยในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข(Constitution Monarchy) โดยผ่านนักเลือกตั้ง และเจ้าพ่อท้องถิ่นในการสร้างเครือข่ายธุรกิจการเมืองและอิทธิพล เกษียรเห็นว่ารูปของทิศทางนี้ใช้ ระบอบเลือกตั้งธิปไตยบัญญัติอานาจเบ็ดเสร็จ ผ่านการเลือกตั้งและพรรคการเมืองโดดๆ ด้านเดียว ทว่ากลับละเลยหรือล่วงละเมิดหลักสิทธิเสรีภาพและหลักนิติธรรมไปเสีย ซึ่งเป็นเนื้อหาสาคัญของระบอบประชาธิปไตยด้วยเช่นกัน
เสรีประชาธิปไตยครึ่งใบ ก็คือ การให้อานาจพลังข้าราชการในระบบอานาจ ๓ฝ่าย คือ ตุลาการ นิติบัญญัติ และฝ่ายบริหาร ทับซ้อนกันโดยไม่สัมพันธ์เชื่อมโยงฐานที่มาของอานาจนั้นกับประชาชนตาม หลักการของประชาธิปไตย ซึ่งย่อมขัดกับหลักสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง เพื่อให้พลังระบบราชการ คัดง้าง ต่อรอง ถ่วงดุล ทางอานาจ กับฝ่ายทุนนิยมโลกาภิวัตน์ ดังสมัยพล..เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี จนกระทั่งปัจจุบันภายใต้การออกแบบรัฐธรรมนูญฉบับประชามติ พ..๒๕๕๐ที่กลไกอธิปไตยของประชาชนทับซ้อนกันโดยการขยายบทบาทอานาจตรวจสอบถ่วงดุลของ บรรดาสถาบันที่ไม่ได้มาจากเสียงข้างมากหรือเชื่อมโยงกับประชาชน
ขณะที่โครงสร้างทางอานาจยังเป็นของชนชั้นนา ของนักการเมืองอาชีพที่หากินทางอานาจกับนายทุน หรือกระทั่งเป็นคนๆ เดียวกัน ซึ่งทาให้โครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ผ่านมา ถูกผูกขาดความมั่งคั่งโดยชนชั้นนา ดังปัญหาความเหลื่อมล้าทางสังคมเป็นที่ประจักษ์ ช่องว่างคนจน-คนรวยถ่างกว้างเป็นอันดับต้นๆ ของโลกเพราะปัญหาการกระจายรายได้ไม่เป็นธรรม หนาซ้ายังไม่มีโครงสร้างการเก็บภาษีทรัพย์สินคืนแก่รัฐที่เป็นธรรมในอัตรา ก้าวหน้าอีกด้วย แน่นอน ทั้งหมดนี้เพราะชนชั้นนาทางการเมืองไทย บริหารประเทศ, ออกกฎหมาย, กาหนดนโยบาย เพื่อผลประโยชน์ทางชนชั้นของพวกเขา จนเกิด เศรษฐกิจ-ผูกขาดโดยชนชั้นนา, สังคม-อุปถัมภ์และอภิสิทธิ์แบบอานาจนิยม, วัฒนธรรม-บริโภคทุนนิยมและความแปลกแยกทางชนชั้นและ
นี่คือจินตภาพของโครงสร้างสังคมไทยที่เป็น ระบอบทุนนิยมประชาธิปไตยแบบไม่เสรีที่ถูกรุกคืบโดยทุน ผูกขาดทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง ในความเห็นของผม
ดังนั้น ความขัดแย้ง-ความรุนแรงทางสังคม นอกจากในรูปของการเอาเปรียบแรงงาน เรามักพบเห็นได้ทั่วไปใน รูปของกลุ่มนายทุนผนวกรัฐ กระทาการ รังแก ละเมิด เบียดเบียน แย่งชิงผลประโยชน์ของชุมชน สังคม ใน รูปแบบของสงครามการแย่งชิงทรัพยากร ผ่านโครงการและนโยบายสาคัญๆ ของรัฐบาลนายทุนเสมอมา ทั้งหมดนั้น เพราะชนชั้นล่างทางสังคมไทย ผู้ด้อยโอกาส กรรมกร เกษตรกร ชาวนา ชาวไร่ คนจนเมือง ไม่เคย เข้าไปสู่อานาจรัฐเพื่อจัดการผลประโยชน์ของตนเอง (มีบ้างที่เข้าไปในอานาจรัฐส่วนปกครองท้องถิ่น แต่ก็ กลายเป็นฐานของเครือข่ายอุปถัมภ์ของกลุ่มทุนนักการเมือง) ไม่ผิดที่เราจึงตกเป็นผู้ตั้งรับเสมอมา
เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น เหตุใดความพยายามของชนชั้นล่างในการเข้าสู่อานาจรัฐจึงไม่ประสบความสาเร็จ ไม่ว่า จะในการต่อสู้ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย พรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย หรือพรรคของฝ่าย ประชาชนที่ผ่านมา
ปัญหาสาคัญก็คือ การสถาปนาอานาจรัฐกึ่งถาวรของชนชั้นนาที่ผ่านมานั้นทาให้ประเทศไทยปกครอง ด้วยระบอบประชาธิปไตยที่ไม่จริงนะครับในปัจจุบัน ในโครงสร้างทางเศรษฐกิจ สังคมและ วัฒนธรรมจึงไม่เป็นประชาธิปไตยด้วย ต่างประเทศเขาเรียกเราว่า ปกครองระบบ “Constitution Monarchy” ๗๕ปีที่ผ่านมาจึงค่อนข้างโน้มเอียงไปทางลัทธิรัฐธรรมนูญนิยม ด้วยการจัดวางความสัมพันธ์ ทางอานาจของชนชั้นนาเชิงกลไก มากกว่า ประชาธิปไตยเชิงเนื้อหาของประชาชนที่แท้จริง ทั้งนี้คา ว่า ประชาธิปตัยในประเทศไทยเอง ในสมัยรัชกาลที่ ๗ก็มีความหมายถึง “Republic” นะครับ ถ้าไปดู เอกสารเก่าๆ ไม่ใช่ประชาธิปไตยในความหมายปัจจุบันซึ่งถูกบิดเบือน ซึ่งภายใต้โครงสร้างอานาจแบบนี้ ทุนนิยมประชาธิปไตยแบบไม่เสรี หรือ เสรีประชาธิปไตยครึ่งใบ ก็ตาม ต่างก็เติบโตได้ดี โดยการแย่งชิง พื้นที่ระบบอุปถัมป์นิยมเพื่อยึดโยงอานาจของตนเอง แต่พลังภาคประชาชนไม่สามารถเติบโตได้ เนื่อง เพราะไม่สามารถเป็นอิสระจากรัฐและทุนได้อย่างแท้จริงภายใต้โครงสร้าง นี้ ซึ่งนั่นรวมถึง อุดมการณ์ทาง การเมืองทางเลือกสายธารความคิดสังคมนิยม จึงไม่มีพื้นที่อยู่ในสังคมด้วยเช่นกัน ประเทศไทยจะเป็น ประชาธิปไตยได้อย่างไรในเมื่อสังคมไม่อนุญาตให้อุดมการณ์ ทางการเมืองนอกจากระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขมีพื้นที่ทางสังคมได้
สังคมประชาธิปไตยน่าจะหมายถึง สังคมที่อนุญาตให้พลเมืองมีที่อยู่ทางความคิดหรืออุดมการณ์ทางการเมืองที่ เห็นต่างได้ ประชาชนสามารถเลือกจุดยืนทางสังคมและอุดมการณ์ทางการเมืองของตนเองได้ ไม่ว่าจะเป็น แนวคิดใด สังคมนิยม ทุนนิยม เสรีนิยม คอมมิวนิสต์ ราชานิยมหรือศาสนานิยมก็ตาม เพราะประชาธิปไตยที่ แท้จริงแล้ว ก็คือ การที่อุดมการณ์ทางการเมืองของพลเมือง สามารถมีที่อยู่-ที่ยืน มีพื้นที่ของตนเองอยู่ในสังคม ได้นั่นเอง..
รัฐประหาร ๑๙กันยายน ๒๕๔๙
แม้หลายคนจะคาดหวังว่าการพัฒนาประชาธิปไตยและการปฏิรูปการเมืองจะเดินไปข้าง หน้า แต่สังคมไทยก็ยังคงตกอยู่ภายใต้ความขัดแย้งทางอานาจของชนชั้นนาเหมือนเดิม เมื่อชนชั้นนาตกลงผลประโยชน์กันไม่ได้ก็ฉีกเครื่องมือในการจัดวางความ สัมพันธ์ทางอานาจคือ รัฐธรรมนูญในเหตุการณ์ ๑๙กันยายน ๒๕๔๙ดังที่ ศ.ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ เคยกล่าวถึงสังคมไทยว่า เมื่อชนชั้นนาตกลงผลประโยชน์กันไม่ได้ หญ้าแพรกก็แหลกราญ”.. นั่นหมายถึงประชาชนตกเป็นผู้ถูกกระทาเสมอไป ทั้งยังเป็นผู้ถูกหยิบอ้างด้วย,
การปฏิรูปการเมืองจะยังคงย่าวนอยู่กับที่ หากคาตอบมิได้อยู่กับประชาชนชนชั้นล่างทางสังคม ซึ่งไม่เคยได้อะไรจากความขัดแย้งและการรัฐประหารหรือรัฐธรรมนูญของชนชั้นนา แต่อย่างใด ท่ามกลางความขัดแย้งนี้ภาคประชาชนยังถูกแบ่งแยกหลวมๆ เป็น ๒ฝ่าย ไม่นิยมระบอบทักษิณหรือประชาธิปไตยเสรีนิยม ก็ซมซบอยู่กับเผด็จการทหาร ส่งผลมาถึงรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ด้วย โดยปราศจากพื้นที่หรือทางเลือกอื่นใดในการต่อสู้ นั่นเพราะเราไม่มีพลังในการต่อรองทางอานาจมากเพียงพอ ที่จะปฏิเสธทั้งระบอบทักษิณและคัดค้านการรัฐประหารโดยคณะมนตรีความมั่นคง แห่งชาติ(คมช.) ได้ ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งทางอานาจของชนชั้นนา ภาคประชาชนจึงยังไม่สามารถเสนอชุดอุดมการณ์ทางการเมืองทางเลือกอื่นๆ อย่างเป็นรูปธรรมได้ นอกจากการคัดค้าน ติดตามตรวจสอบ การเรียกร้องแก้ไขเนื้อหา และหรือการเข้าไปมีส่วนร่วมในการร่างรัฐธรรมนูญของชนชั้นนาแต่เพียงเท่านั้น
ปัญหาวิกฤติการเมืองไทยที่ผ่านมานั้น
ปัญหาหลักมาจากสถานการณ์การผูกขาดอานาจทางการเมืองของชนชั้นนา ซึ่งยังทาให้เกิดการผูกขาดทางเศรษฐกิจ ความเหลื่อมล้ามหาศาลในประเทศไทยในขณะนี้นั้น สังคมไทยต้องตั้งคาถามต่อทิศทางการนาพาประเทศแบบทุนนิยมเสรีที่ขึ้นต่อกลไก ตลาดและกระแสโลกาภิวัตน์เต็มที่นี้ ทาให้เกิดความเหลื่อมล้าทางรายได้อย่างสูง และเป็นปัญหาทางโครงสร้างหลักของความยากจนในสังคมไทยที่ผ่านมา ขณะที่รัฐบาลของทหารและนายทุนก็ไม่เคยเยียวยาปัญหานี้ทางโครงสร้าง โดยเฉพาะการจัดรัฐสวัสดิการและบริการสาธารณะ เช่น การศึกษา การรักษาพยาบาล การประกันการว่างงาน หรือกระทั่ง การยึดคืนสัมปทานของเอกชนที่เป็นสมบัติสาธารณะทางสังคมมาจัดการเพื่อผล ประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ เช่น โทรคมนาคม น้ามันและพลังงาน เป็นต้น
ดังนั้น แม้จะเปลี่ยนผลัดอานาจโดยการรัฐประหารของกองทัพ (๒๕๔๙-๒๕๕๑) สังคมก็ยังคงจ่อมจมกับปัญหาเหล่านี้ต่อไป ท่ามกลางเงื่อนไขทางสิทธิเสรีภาพที่มีมากขึ้นกว่ายุคเผด็จการแบบเก่า แต่ความคาดหวังในการปฏิรูประบบเศรษฐกิจเชิงโครงสร้างใหม่ที่ตั้งคาถามกับ เศรษฐศาสตร์กระแสหลักแต่ให้ความสาคัญ เศรษฐศาสตร์สังคมมาก ขึ้น โดยการลดทอนช่องว่างความเหลื่อมล้า ปฏิเสธเผด็จการทุนนิยมเสรีเบ็ดเสร็จที่ไม่เป็นธรรมต่อคนส่วนใหญ่ จึงยังไม่เกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขใด แม้ในรัฐบาลเฉพาะกาลนั้น หรือรัฐบาลจากการเลือกตั้งภายใต้รัฐสภานายทุนก็ตาม ตราบใดที่ภาคพลเมืองยังไม่เข้มแข็งและรวมตัวกันในการต่อรองทางอานาจ
การผูกขาดอานาจของชนชั้นนาดังกล่าว ยังทาให้ประเทศไทยสูญเสียบรรทัดฐานทางสังคมการเมืองซ้าซ้อน ซึ่งมีที่มาสาคัญจากวัฒนธรรมทางการเมือง และกระบวนการยุติธรรมไทยที่ไม่สามารถทลายวัฒนธรรมการเมืองแบบอานาจนิยมและ อุปถัมภ์นิยมในสังคมไทยได้ จะด้วยการปฏิรูปกฎหมายหรือการบังคับใช้แก่ทุกฐานะทางสังคมอย่างเท่าเทียมก็ ตาม กระบวนการยุติธรรมที่เป็นความหวังและหลังพิงความยุติธรรมโดยปราศจากการ เลือกปฏิบัติทางชนชั้นแห่งอานาจทุกรูปแบบจึงยังไม่สามารถสร้างวัฒนธรรมความรับผิดชอบแก่ผู้มีอานาจทางการเมืองได้
เราจึงไม่เห็นว่า ผู้ที่สั่งฆ่าประชาชนในเหตุการณ์ ๑๗-๒๑พฤษภาคม ๒๕๓๕ทาไมไม่ได้รับโทษทัณฑ์ใดๆ, ญาติผู้สูญหายในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬนายทนงค์ โพธิ์อ่าน๓จังหวัดชายแดนภาคใต้ทนายสมชาย นีละไพจิตร ทาไมไม่ได้รับความยุติธรรมในปัจจุบัน เหตุใดผู้ใช้นโยบายก่อให้เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไม่ต้องรับผิดชอบใน กระบวนการยุติธรรม เหตุการณ์เมษา-พฤษภาเลือด ๒๕๕๓มีคนตายกลางเมืองหลวงมากมายแต่ไม่มีผู้รับผิดชอบ, คงมิพักต้องกล่าวถึงย้อนหลังประวัติศาสตร์อีกมากมาย ตั้งแต่สมัยสฤษดิ์ ธนรัชต์, ถนอม กิตติขจร หรือกระทั่งยุคไม่มีอะไรที่ตารวจไทยทาไม่ได้ ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ในสมัยเผ่า ศรียานนท์ ซึ่งมีการกระทาป่าเถื่อนมากมาย โดยเฉพาะการอุ้มฆ่า ๔รัฐมนตรี และจนบัดนี้ไม่เคยมีใครรับผิดชอบ นับจากก่อนหน้าการรัฐประหาร
ส่วนหนึ่งของปัญหาสาคัญที่นามาสู่สถานการณ์ในปัจจุบันนั้น, ในรายงานความคืบหน้าของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการ ปรองดองแห่งชาติ หรือ คอป.ที่มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน ซึ่งเป็นการรายงานการทางานครั้งที่ ๒ระหว่างวันที่ ๑๗มกราคม -๑๖กรกฎาคม ๒๕๕๔กลับเห็นว่าตั้งแต่การประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ถึงการเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อปี พ..๒๕๕๓คอป.มีข้อสรุปว่า รากเหง้าของปัญหาความขัดแย้งส่วนหนึ่งมาจากกระบวนการที่ละเมิดหลักนิติธรรม กระบวนการประชาธิปไตย กระบวนการบังคับใช้กฎหมายที่ทุกๆ อย่างมีความอ่อนแอและขาดประสิทธิภาพ จนนาไปสู่กระบวนการใช้อานาจนอกระบบในการแก้ไขปัญหา โดยการรัฐประหารซึ่งเป็นการละเมิดหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอย่าง ร้ายแรง ซึ่งแทนที่จะเป็นการแก้ปัญหาแต่ในท้ายที่สุดกลับสร้างปัญหามากยิ่งขึ้น
รายงานฉบับนี้ ระบุว่า
การละเมิดหลักนิติธรรมโดยกระบวนการยุติธรรมอันเป็นรากเหง้าของ ปัญหา เกิดจากกรณีของคาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อปี ๒๕๔๔ในคดีที่ พ...ทักษิณ ชินวัตร ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทา ผิดตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐มาตรา ๒๙๕หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่าคดีซุกหุ้นที่ศาลรัฐธรรมนูญมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักแห่งกฎหมาย กล่าวคือ
ในทางหลักกฎหมายนั้นโดยทั่วไปในการวินิจฉัยคดีไม่ว่าของ ศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลใดๆ ก็ตาม ศาลต้องตั้งประเด็นในประการแรกว่าคดีที่ศาลจะวินิจฉัยชี้ขาดนั้นอยู่ในอานาจ ของศาลหรือไม่ อันเป็นประเด็นในเรื่องเงื่อนไขให้อานาจดาเนินคดี” (Prerequisite for prosecution) ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ต้องพิจารณาก่อน” (prerequisite) และหากศาลเห็นว่าคดีอยู่ในอานาจของศาลแล้วประเด็นที่จักต้องวินิจฉัยต่อไปก็ คือว่า ผู้ถูกกล่าวหาได้กระทาตามที่ถูกกล่าวหาหรือไม่ อันเป็นประเด็นในเนื้อหาของคดีในคดีซุกหุ้นดังกล่าวนี้แม้ศาลรัฐธรรมนูญในขณะนั้นจักได้วินิจฉัยในประเด็นเงื่อนไขให้อานาจดาเนินคดี”(Prerequisite for prosecution) ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ต้องพิจารณาก่อน” (prerequisite) ไว้ถูกต้องแล้ว
โดยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจานวน ๑๑คนเห็นว่าเป็นคดีที่อยู่ในอานาจของศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจานวน ๔คนเห็นว่าคดีดังกล่าวไม่อยู่ในอานาจของศาลรัฐธรรมนูญที่จะวินิจฉัยก็ตามในชั้นพิจารณาชี้ขาดในเนื้อหาของคดีนั้น ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจานวน ๗คน ได้วินิจฉัยว่า พ...ทักษิณ ชินวัตรได้ทาการซุกหุ้นจริง ส่วนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจานวน ๖คน วินิจฉัยว่า พ... ทักษิณ ชินวัตรไม่ได้กระทาผิดในข้อกล่าวหา แต่ที่น่าประหลาดก็คือตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจานวนอีก ๒คนที่เคยลงมติว่าคดีไม่อยู่ในอานาจของศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้ลงไปวินิจฉัย ชี้ขาดในเนื้อหาของคดีแต่อย่างใด เท่านั้นไม่พอศาลรัฐธรรมนูญเองยังได้นาเอาคะแนนเสียง ๒เสียงหลังนี้ไปรวมกับคะแนนเสียงจานวน ๖เสียงที่วินิจฉัยว่า พ... ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้กระทาผิดในข้อกล่าวหาว่าซุกหุ้นแล้วศาลรัฐธรรมนูญได้สรุปเป็นคาวินิจฉัยชี้ขาดยกฟ้อง
การปฏิบัติของศาลรัฐธรรมนูญในคดีดังกล่าวนี้จึงมีความไม่ชอบมาพา กลที่ยากที่ประชาชนทั่วไปจะเข้าใจได้ ทั้งบรรยากาศของบ้านเมืองในขณะนั้นดูจะไม่เอื้อต่อการที่จะทาความเข้าใจใน หลักกฎหมายดังกล่าวนี้ด้วย เพราะกระแสสังคมในบ้านเมืองในระหว่างการดาเนินคดีซุกหุ้นนั้น เป็นไปในทิศทางที่มีการคาดหวังในตัวบุคคลอย่างรุนแรงมากจนทาให้ ศาลรัฐธรรมนูญเกิดหวั่นไหวเลยทีเดียว
การที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ๒คน ไม่วินิจฉัยชี้ขาดในเนื้อหาของคดีก็ดี และการที่ศาลรัฐธรรมนูญเองได้นาเอาคะแนนเสียง ๒เสียงเข้าไปบวกรวมกับคะแนนเสียง ๖เสียงก็ดี เป็นการปฏิบัติที่ผิดหลักกฎหมายโดยแท้ กล่าวคือ ทาให้เกิดความผิดพลาด ๒ประการ คือ เป็นความผิดพลาดของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ๒คนที่ไม่วินิจฉัยชี้ขาดในเนื้อหาของคดีซึ่งเท่ากับเป็นการไม่ทาหน้าที่ ตุลาการของตน เพราะผู้พิพากษาหรือตุลาการนั้นจะไม่ทาหน้าที่ของตนไม่ได้โดยเด็ดขาด และยังเป็นความผิดพลาดของศาลรัฐธรรมนูญเองอีกด้วยที่ได้เอาคะแนนเสียง ๒เสียงไปรวมกับคะแนนเสียง ๖เสียงที่วินิจฉัยว่า พ...ทักษิณ ชินวัตรไม่ได้กระทาความผิดตามข้อกล่าวหา ทาให้ผลของคดีดังกล่าวนี้เป็นผลที่มีความไม่ชอบมาพากล เพราะรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐มาตรา ๓๐๓บัญญัติเหตุแห่งการถอดถอนออกจากตาแหน่งว่าจงใจใช้อานาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายผลของการปฏิบัติที่ผิดหลักกฎหมายของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ๒คน และศาลรัฐธรรมนูญโดยรวมดังกล่าวมานั้น จึงเป็นการบิดเบือนหรือหักดิบกฎหมาย อันเป็นจุดเริ่มต้นที่ทาให้สังคมเกิดความเคลือบแคลงในหลักนิติธรรมของประเทศ ไทยโดยที่ ตั้งแต่ได้เกิดการบิดเบือน
หรือหักดิบกฎหมายขึ้นในคดีที่ พ... ทักษิณ ชินวัตร ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาในคดีซุกหุ้นเมื่อปี ๒๕๔๔นั้น รัฐยังละเลยและไม่ได้เข้าไปตรวจสอบถึงรากเหง้าของความไม่ชอบมาพากลหรือความ ที่น่ากังขาของเรื่องนี้แต่อย่างใด ดังนั้น คอป.จึงขอเสนอแนะให้รัฐและสังคมได้ตรวจสอบการยึดถือปฏิบัติตาม
รัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐
ฐานะของประชาชนในอดีต เราได้เพียงเคยคาดหวังว่า รัฐธรรมนูญจะจัดวางพื้นที่ให้ คือสิทธิพลเมืองและชุมชน บวกกับพื้นที่สิทธิทางเศรษฐกิจ ซึ่งที่ผ่านมาถูกเลือกปฏิบัติในการหยิบใช้ ซึ่งนั่นทาให้เราต้องทบทวนว่า เราไม่อาจหวังให้รัฐธรรมนูญของชนชั้นนามาปฏิรูปการเมืองไทยได้ เพราะเขาจะไม่ยอมปฏิรูปตนเอง ยิ่งการเมืองแตกเป็นสองขั้ว ฝ่ายใดช่วงชิงได้มากกว่าก็เพื่อทาลายฝ่ายตรงข้ามนั่นเอง ดังนั้น รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันก็มุ่งทาลายประสบการณ์ เผด็จการนายทุนในนาม ระบอบทักษิณโดยขั้วทางการเมืองฝ่ายทหารในนาม อมาตยาธิปไตยและภาคประชาชนส่วนหนึ่งที่มีมูลเหตุจูงใจทางการเมืองที่จะสังกัดขั้วทางการเมือง (politicize)ท่ามกลางรัฐธรรมนูญที่ถูกออกแบบมาเพื่อฐานะดังกล่าว ภาคพลเมืองจะหยิบใช้และต่อสู้อย่างไรเพื่อฐานะของตนเอง จึงเป็นสิ่งที่ท้าทายต่อขบวนการภาคประชาชนไทย ที่จะหยิบใช้สถานการณ์อย่างไร
เมื่อพิจารณาความสัมพันธ์ทางอานาจในรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ที่จะยึดโยงว่า อธิปไตยเป็นของปวงชน(ซึ่งหมายถึงเรา)ทั้งในนิยามแห่งอานาจและการปฏิบัติการทางอานาจนั้น เรากลับพบว่า แม้รัฐธรรมนูญจะมีหลายมาตราที่ก้าวหน้าและดีขึ้นเมื่อเปรียบเทียบบางมาตรา ของรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐โดยเฉพาะในหมวดสิทธิเสรีภาพ แต่ที่ล้าหลังไปมากกว่าเก่าในนิยามแห่งอานาจที่กล่าวมานั้น และไม่อาจยอมรับได้ก็คือ
.รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ถ่ายโอนอธิปไตยของปวงชนชาวไทยสู่ระบอบรัฐข้าราชการโดยเฉพาะฝ่ายตุลาการมากเกินไป ในนาม อานาจทางการเมืองทั้งที่ฝ่ายตุลาการควรมีอานาจทางกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมเท่านั้น จนพื้นที่ทางอานาจของประชาชนแทบจะไม่มีหลงเหลืออยู่ในรัฐธรรมนูญ หากนับการถ่ายโอนอานาจของประชาชนแก่ผู้แทนราษฎร(..) และสมาชิกวุฒิสภา(..) บางส่วนเท่านั้น เนื่องเพราะมีการทาลายความสมดุลของอานาจอธิปไตยทั้ง ๓ ฝ่าย คือ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ โดยให้ฝ่ายนิติบัญญัติมาจากการแต่งตั้งส่วนหนึ่ง (.๑๑๑) โดยคณะกรรมการสรรหาซึ่งส่วนใหญ่มาจากฝ่ายตุลาการ ทาให้ความสัมพันธ์ทางอานาจไขว้กันไปมาและตัดทอนอธิปไตยของปวงชนอย่างชัดเจน
การให้มีวุฒิสภามาจากการเลือกตั้ง ๗๖คน อีก ๗๔คนมาจากการแต่งตั้งซึ่งเกือบครึ่งหนึ่งนั้น จะไม่เป็นปัญหามากหากอานาจของวุฒิสภา(..) ไม่มีอานาจในการถอดถอนผู้ดารงตาแหน่งทางการเมืองซึ่งมาจากการเลือกตั้งของ ประชาชน หรือมีอานาจในการกลั่นกรองกฎหมาย ซึ่งเกี่ยวกันกับกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญจานวนมาก รวมทั้งยังมีอานาจหน้าที่ในการแต่งตั้งตาแหน่งสาคัญในองค์กรอิสระตาม รัฐธรรมนูญและองค์กรอื่น ซึ่งทาให้วุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้งมีบทบาทสาคัญสูงในการกาหนดโครงสร้าง ดังที่ ศ.รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ สรุปว่า กลุ่มพลังอามาตยาธิปไตยจะสามารถมากาหนดกฎเกณฑ์ กากับ ตรวจสอบ และควบคุมสังคมการเมืองไทยได้
นอกจากนี้รัฐธรรมนูญฉบับประชามติ ยังให้องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญมาจากกระบวนการสรรหาของฝ่ายตุลาการเป็นส่วน ใหญ่ ทั้งยังต้องผ่านความเห็นชอบหรือกลั่นกรองจากฝ่ายนิติบัญญัติที่ไม่ได้มาจาก การเลือกตั้งด้วยเช่นกัน (กกต. .๒๓๑, ผู้ตรวจการฯ ม.๒๔๓, ... .๒๔๖, กสม. .๒๕๖) ซึ่งทาให้ขัดแย้งหลักอานาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทยตามมาตรา ๓เพราะตัดขาดการยึดโยงอานาจของประชาชน นาพาระบอบประชาธิปไตยรับใช้ รัฐข้าราชการเต็มที่โดยกฎหมายรัฐธรรมนูญ
อย่าลืมว่า ฐานะของภาคประชาชน เราไม่อาจปฏิรูปการเมือง โดยไม่ ปฏิรูปการเมืองเชิงโครงสร้าง” -แห่งอานาจ ที่จะมองเห็นฐานะภาคประชาชนพลเมืองเป็นเจ้าของอธิปไตยได้ในระบบรัฐ และการเมืองบนท้องถนนก็เป็นส่วนกดดันที่จะเติมเต็มฐานะนี้ สังคมไทยถึงจะมี ประชาธิปไตยทางการเมือง และระบบเศรษฐกิจแบบรัฐสวัสดิการได้อย่างแท้จริง
โดยสรุป
. มี การบิดเบือนอานาจอธิปไตยของประชาชน ทั้งในนิยามแห่งอานาจและการปฏิบัติการทางอานาจ โดยยึดเอา อธิปไตยของประชาชนส่วนหนึ่งที่ยึดโยงกับนักการเมืองผ่านการเลือกตั้งมาให้ แก่ข้าราชการตุลาการ โดยการตีความมุมแคบจากประสบการณ์ทางสังคมที่พบว่านักการเมืองเป็นข้าทาสของ นายทุนและใช้อานาจรัฐซึ่งต้องควบคุมเต็มที่ แต่ไม่ได้ตระหนักว่า นักการเมืองคือฐานะหนึ่งของผู้แทนอธิปไตยของประชาชน และไม่ยอมตีความว่า ศาลก็คืออานาจรัฐหนึ่งซึ่งไม่ได้ยึดโยงกับประชาชนแต่อย่างใด จึงนามาซึ่งรัฐธรรมนูญที่สรุปได้ว่า ลดอานาจรัฐ เพิ่มอานาจข้าราชการที่อยู่ของภาคประชาชนคือการให้สิทธิเสรีภาพมากขึ้นแต่มีเงื่อนไขหากมีกฎหมายและพระราชบัญญัติลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามมา
.การนิรโทษกรรมตามมาตรา ๓๐๙ โดยให้บรรดาการใดๆ ที่รับรองตามรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๙ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญนี้ รวมทั้งการกระทาเกี่ยวเนื่องกับกรณีดังกล่าวไม่ว่าก่อนและหลังรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ประกาศใช้ให้ชอบด้วยรัฐธรรมนูญนั้น ซึ่งอาจทาให้รัฐธรรมนูญ ๒ฉบับทับซ้อนทางอานาจกัน และทาให้อานาจของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ตามมาตรา ๓๔ของรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๙ยังคงอยู่ รวมทั้งประกาศของคณะปฏิรูปการปกครองฯ (คปค.) (ตามม.๓๖-๓๗, รธน.๒๕๔๙) ยังมีผลทางอานาจอยู่ โดยตุลาการศาลฎีกาไม่สามารถนามาตีความหรือวินิจฉัยตามหลักนิติธรรมได้อีกต่อ ไปเพราะไปบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ว่าชอบด้วยรัฐธรรมนูญแล้ว ซึ่ง เรื่องนี้เข้าใจว่าเป็นการนิรโทษกรรมตนเองสืบเนื่องเพราะคณะรัฐประหารและผู้ ใช้อานาจสืบเนื่องกลัวการถูกเอาคืนทางการเมือง แม้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ๒๕๔๙จะนิรโทษกรรมให้แล้วก็ตาม แต่การบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญเช่นนี้ นอกจากสะท้อนว่าการเมืองไทยจะไม่มีความสงบอีกพักใหญ่และจะนาพาสังคมสู่ บรรยากาศแห่งการแตกแยกอีกระยะหนึ่งแล้ว อันตรายของรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะทาลายกระบวนการยุติธรรมไทยในอนาคต และทาลายการพยายามจะสร้างบรรทัดฐานทางการเมืองไทยให้เกิดขึ้นด้วยเช่นกัน เพราะไม่สามารถนามาวินิจฉัยในกระบวนการยุติธรรมได้

เนื้อหาเพิ่มเติม คลิกที่https://www.youtube.com/results?

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความ ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์

บทความเรื่อง     “ ห้องสมุดออนไลด์(ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์)    E-Library”                                    แหล่งการเรียนรู้...