บทความพิเศษวิเคราะห์การเมืองเศรษฐกิจสังคมไทย
บทวิเคราะห์ สถานการณ์สังคมการเมืองไทย (โดยสังเขป)
(เอกสารประกอบการสัมมนาขบวนการหนุ่มสาวเพื่อสังคม หรือ กลุ่มยังเตริร์กส)
จินตภาพสังคมไทย
๒๘มีนาคม
๒๕๕๑,
เกษียร เตชะพีระ เขียนบทความลงมติชนรายวัน
เรื่อง “แนวโน้มสถานการณ์ในอนาคต: ระบอบ”
จินตภาพสังคมการเมืองไทยในปัจจุบันน่าสนใจว่า สถานการณ์การเมืองไทยจะยังอึมครึมและยืดเยื้อคัดง้างค้างคาเช่นนี้ต่อไปอีก
นาน ตราบเท่าที่เงื่อนไขพื้นฐานและคู่ขัดแย้งหลักยังไม่เปลี่ยนแปลงพลิกผันไปทาง ใดทางหนึ่ง
นั่นก็คือความขัดแย้งของระบอบการเมืองการปกครองไทยระหว่าง ประชาธิปไตยแบบไม่เสรี
vsเสรีประชาธิปไตยครึ่งใบ
ประชาธิปไตยไม่เสรีหรือประชาธิปไตยอานาจนิยม
ก็คือฐานะของการเมืองไทยที่ถูกผูกขาดครอบครองโดยชนชั้นนาทางการเมือง
เศรษฐกิจและสังคมไทยในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข(Constitution
Monarchy) โดยผ่านนักเลือกตั้ง และเจ้าพ่อท้องถิ่นในการสร้างเครือข่ายธุรกิจการเมืองและอิทธิพล
เกษียรเห็นว่ารูปของทิศทางนี้ใช้ “ระบอบเลือกตั้งธิปไตย”บัญญัติอานาจเบ็ดเสร็จ ผ่านการเลือกตั้งและพรรคการเมืองโดดๆ ด้านเดียว ทว่ากลับละเลยหรือล่วงละเมิดหลักสิทธิเสรีภาพและหลักนิติธรรมไปเสีย
ซึ่งเป็นเนื้อหาสาคัญของระบอบประชาธิปไตยด้วยเช่นกัน
เสรีประชาธิปไตยครึ่งใบ
ก็คือ
การให้อานาจพลังข้าราชการในระบบอานาจ ๓ฝ่าย คือ ตุลาการ นิติบัญญัติ และฝ่ายบริหาร
ทับซ้อนกันโดยไม่สัมพันธ์เชื่อมโยงฐานที่มาของอานาจนั้นกับประชาชนตาม หลักการของประชาธิปไตย
ซึ่งย่อมขัดกับหลักสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง เพื่อให้พลังระบบราชการ คัดง้าง
ต่อรอง ถ่วงดุล ทางอานาจ กับฝ่ายทุนนิยมโลกาภิวัตน์ ดังสมัยพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี จนกระทั่งปัจจุบันภายใต้การออกแบบรัฐธรรมนูญฉบับประชามติ
พ.ศ.๒๕๕๐ที่กลไกอธิปไตยของประชาชนทับซ้อนกันโดยการขยายบทบาทอานาจตรวจสอบถ่วงดุลของ
บรรดาสถาบันที่ไม่ได้มาจากเสียงข้างมากหรือเชื่อมโยงกับประชาชน
ขณะที่โครงสร้างทางอานาจยังเป็นของชนชั้นนา
ของนักการเมืองอาชีพที่หากินทางอานาจกับนายทุน หรือกระทั่งเป็นคนๆ เดียวกัน ซึ่งทาให้โครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ผ่านมา
ถูกผูกขาดความมั่งคั่งโดยชนชั้นนา ดังปัญหาความเหลื่อมล้าทางสังคมเป็นที่ประจักษ์ ช่องว่างคนจน-คนรวยถ่างกว้างเป็นอันดับต้นๆ
ของโลกเพราะปัญหาการกระจายรายได้ไม่เป็นธรรม หนาซ้ายังไม่มีโครงสร้างการเก็บภาษีทรัพย์สินคืนแก่รัฐที่เป็นธรรมในอัตรา
ก้าวหน้าอีกด้วย แน่นอน ทั้งหมดนี้เพราะชนชั้นนาทางการเมืองไทย บริหารประเทศ,
ออกกฎหมาย, กาหนดนโยบาย เพื่อผลประโยชน์ทางชนชั้นของพวกเขา
จนเกิด เศรษฐกิจ-ผูกขาดโดยชนชั้นนา, สังคม-อุปถัมภ์และอภิสิทธิ์แบบอานาจนิยม, วัฒนธรรม-บริโภคทุนนิยมและความแปลกแยกทางชนชั้นและ
นี่คือจินตภาพของโครงสร้างสังคมไทยที่เป็น
“ระบอบทุนนิยมประชาธิปไตยแบบไม่เสรี” ที่ถูกรุกคืบโดยทุน
ผูกขาดทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง ในความเห็นของผม
ดังนั้น
ความขัดแย้ง-ความรุนแรงทางสังคม นอกจากในรูปของการเอาเปรียบแรงงาน เรามักพบเห็นได้ทั่วไปใน
รูปของกลุ่มนายทุนผนวกรัฐ กระทาการ รังแก ละเมิด เบียดเบียน แย่งชิงผลประโยชน์ของชุมชน
สังคม ใน รูปแบบของสงครามการแย่งชิงทรัพยากร ผ่านโครงการและนโยบายสาคัญๆ ของรัฐบาลนายทุนเสมอมา
ทั้งหมดนั้น เพราะชนชั้นล่างทางสังคมไทย ผู้ด้อยโอกาส กรรมกร เกษตรกร ชาวนา
ชาวไร่ คนจนเมือง ไม่เคย เข้าไปสู่อานาจรัฐเพื่อจัดการผลประโยชน์ของตนเอง (มีบ้างที่เข้าไปในอานาจรัฐส่วนปกครองท้องถิ่น แต่ก็ กลายเป็นฐานของเครือข่ายอุปถัมภ์ของกลุ่มทุนนักการเมือง)
ไม่ผิดที่เราจึงตกเป็นผู้ตั้งรับเสมอมา
เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
เหตุใดความพยายามของชนชั้นล่างในการเข้าสู่อานาจรัฐจึงไม่ประสบความสาเร็จ ไม่ว่า จะในการต่อสู้ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
พรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย หรือพรรคของฝ่าย ประชาชนที่ผ่านมา
ปัญหาสาคัญก็คือ
การสถาปนาอานาจรัฐกึ่งถาวรของชนชั้นนาที่ผ่านมานั้นทาให้ประเทศไทยปกครอง ด้วยระบอบ “ประชาธิปไตย” ที่ “ไม่จริง”
นะครับในปัจจุบัน ในโครงสร้างทางเศรษฐกิจ สังคมและ วัฒนธรรมจึงไม่เป็นประชาธิปไตยด้วย
ต่างประเทศเขาเรียกเราว่า ปกครองระบบ “Constitution Monarchy” ๗๕ปีที่ผ่านมาจึงค่อนข้างโน้มเอียงไปทางลัทธิรัฐธรรมนูญนิยม
ด้วยการจัดวางความสัมพันธ์ ทางอานาจของชนชั้นนาเชิงกลไก มากกว่า “ประชาธิปไตย”
เชิงเนื้อหาของประชาชนที่แท้จริง
ทั้งนี้คา ว่า “ประชาธิปตัย” ในประเทศไทยเอง ในสมัยรัชกาลที่ ๗ก็มีความหมายถึง “Republic” นะครับ ถ้าไปดู เอกสารเก่าๆ ไม่ใช่ประชาธิปไตยในความหมายปัจจุบันซึ่งถูกบิดเบือน
ซึ่งภายใต้โครงสร้างอานาจแบบนี้ ทุนนิยมประชาธิปไตยแบบไม่เสรี หรือ เสรีประชาธิปไตยครึ่งใบ
ก็ตาม ต่างก็เติบโตได้ดี โดยการแย่งชิง พื้นที่ระบบอุปถัมป์นิยมเพื่อยึดโยงอานาจของตนเอง
แต่พลังภาคประชาชนไม่สามารถเติบโตได้ เนื่อง เพราะไม่สามารถเป็นอิสระจากรัฐและทุนได้อย่างแท้จริงภายใต้โครงสร้าง
นี้ ซึ่งนั่นรวมถึง อุดมการณ์ทาง การเมืองทางเลือกสายธารความคิดสังคมนิยม จึงไม่มีพื้นที่อยู่ในสังคมด้วยเช่นกัน
ประเทศไทยจะเป็น ประชาธิปไตยได้อย่างไรในเมื่อสังคมไม่อนุญาตให้อุดมการณ์ ทางการเมืองนอกจาก
“ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข” มีพื้นที่ทางสังคมได้
สังคมประชาธิปไตยน่าจะหมายถึง
สังคมที่อนุญาตให้พลเมืองมีที่อยู่ทางความคิดหรืออุดมการณ์ทางการเมืองที่ เห็นต่างได้
ประชาชนสามารถเลือกจุดยืนทางสังคมและอุดมการณ์ทางการเมืองของตนเองได้ ไม่ว่าจะเป็น
แนวคิดใด สังคมนิยม ทุนนิยม เสรีนิยม คอมมิวนิสต์ ราชานิยมหรือศาสนานิยมก็ตาม เพราะประชาธิปไตยที่
แท้จริงแล้ว ก็คือ การที่อุดมการณ์ทางการเมืองของพลเมือง สามารถมีที่อยู่-ที่ยืน
มีพื้นที่ของตนเองอยู่ในสังคม ได้นั่นเอง..
รัฐประหาร
๑๙กันยายน ๒๕๔๙
แม้หลายคนจะคาดหวังว่าการพัฒนาประชาธิปไตยและการปฏิรูปการเมืองจะเดินไปข้าง
หน้า แต่สังคมไทยก็ยังคงตกอยู่ภายใต้ความขัดแย้งทางอานาจของชนชั้นนาเหมือนเดิม เมื่อชนชั้นนาตกลงผลประโยชน์กันไม่ได้ก็ฉีกเครื่องมือในการจัดวางความ
สัมพันธ์ทางอานาจคือ “รัฐธรรมนูญ” ในเหตุการณ์ ๑๙กันยายน ๒๕๔๙ดังที่ ศ.ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ เคยกล่าวถึงสังคมไทยว่า “เมื่อชนชั้นนาตกลงผลประโยชน์กันไม่ได้
หญ้าแพรกก็แหลกราญ”.. นั่นหมายถึงประชาชนตกเป็นผู้ถูกกระทาเสมอไป
ทั้งยังเป็นผู้ถูกหยิบอ้างด้วย,
การปฏิรูปการเมืองจะยังคงย่าวนอยู่กับที่
หากคาตอบมิได้อยู่กับประชาชนชนชั้นล่างทางสังคม ซึ่งไม่เคยได้อะไรจากความขัดแย้งและการรัฐประหารหรือรัฐธรรมนูญของชนชั้นนา
แต่อย่างใด ท่ามกลางความขัดแย้งนี้ภาคประชาชนยังถูกแบ่งแยกหลวมๆ เป็น ๒ฝ่าย ไม่นิยมระบอบทักษิณหรือประชาธิปไตยเสรีนิยม
ก็ซมซบอยู่กับเผด็จการทหาร ส่งผลมาถึงรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ด้วย โดยปราศจากพื้นที่หรือทางเลือกอื่นใดในการต่อสู้
นั่นเพราะเราไม่มีพลังในการต่อรองทางอานาจมากเพียงพอ ที่จะปฏิเสธทั้งระบอบทักษิณและคัดค้านการรัฐประหารโดยคณะมนตรีความมั่นคง
แห่งชาติ(คมช.) ได้ ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งทางอานาจของชนชั้นนา
ภาคประชาชนจึงยังไม่สามารถเสนอชุดอุดมการณ์ทางการเมืองทางเลือกอื่นๆ อย่างเป็นรูปธรรมได้
นอกจากการคัดค้าน ติดตามตรวจสอบ การเรียกร้องแก้ไขเนื้อหา และหรือการเข้าไปมีส่วนร่วมในการร่างรัฐธรรมนูญของชนชั้นนาแต่เพียงเท่านั้น
ปัญหาวิกฤติการเมืองไทยที่ผ่านมานั้น
ปัญหาหลักมาจากสถานการณ์การผูกขาดอานาจทางการเมืองของชนชั้นนา
ซึ่งยังทาให้เกิดการผูกขาดทางเศรษฐกิจ
ความเหลื่อมล้ามหาศาลในประเทศไทยในขณะนี้นั้น สังคมไทยต้องตั้งคาถามต่อทิศทางการนาพาประเทศแบบทุนนิยมเสรีที่ขึ้นต่อกลไก
ตลาดและกระแสโลกาภิวัตน์เต็มที่นี้ ทาให้เกิดความเหลื่อมล้าทางรายได้อย่างสูง และเป็นปัญหาทางโครงสร้างหลักของความยากจนในสังคมไทยที่ผ่านมา
ขณะที่รัฐบาลของทหารและนายทุนก็ไม่เคยเยียวยาปัญหานี้ทางโครงสร้าง โดยเฉพาะการจัดรัฐสวัสดิการและบริการสาธารณะ
เช่น การศึกษา การรักษาพยาบาล การประกันการว่างงาน หรือกระทั่ง การยึดคืนสัมปทานของเอกชนที่เป็นสมบัติสาธารณะทางสังคมมาจัดการเพื่อผล
ประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ เช่น โทรคมนาคม น้ามันและพลังงาน เป็นต้น
ดังนั้น
แม้จะเปลี่ยนผลัดอานาจโดยการรัฐประหารของกองทัพ (๒๕๔๙-๒๕๕๑) สังคมก็ยังคงจ่อมจมกับปัญหาเหล่านี้ต่อไป ท่ามกลางเงื่อนไขทางสิทธิเสรีภาพที่มีมากขึ้นกว่ายุคเผด็จการแบบเก่า
แต่ความคาดหวังในการปฏิรูประบบเศรษฐกิจเชิงโครงสร้างใหม่ที่ตั้งคาถามกับ เศรษฐศาสตร์กระแสหลักแต่ให้ความสาคัญ
“เศรษฐศาสตร์สังคม” มาก ขึ้น โดยการลดทอนช่องว่างความเหลื่อมล้า
ปฏิเสธเผด็จการทุนนิยมเสรีเบ็ดเสร็จที่ไม่เป็นธรรมต่อคนส่วนใหญ่ จึงยังไม่เกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขใด
แม้ในรัฐบาลเฉพาะกาลนั้น หรือรัฐบาลจากการเลือกตั้งภายใต้รัฐสภานายทุนก็ตาม ตราบใดที่ภาคพลเมืองยังไม่เข้มแข็งและรวมตัวกันในการต่อรองทางอานาจ
การผูกขาดอานาจของชนชั้นนาดังกล่าว
ยังทาให้ประเทศไทยสูญเสียบรรทัดฐานทางสังคมการเมืองซ้าซ้อน
ซึ่งมีที่มาสาคัญจากวัฒนธรรมทางการเมือง และกระบวนการยุติธรรมไทยที่ไม่สามารถทลายวัฒนธรรมการเมืองแบบอานาจนิยมและ
อุปถัมภ์นิยมในสังคมไทยได้ จะด้วยการปฏิรูปกฎหมายหรือการบังคับใช้แก่ทุกฐานะทางสังคมอย่างเท่าเทียมก็
ตาม กระบวนการยุติธรรมที่เป็นความหวังและหลังพิงความยุติธรรมโดยปราศจากการ เลือกปฏิบัติทางชนชั้นแห่งอานาจทุกรูปแบบจึงยังไม่สามารถสร้างวัฒนธรรมความรับผิดชอบแก่ผู้มีอานาจทางการเมืองได้
เราจึงไม่เห็นว่า
ผู้ที่สั่งฆ่าประชาชนในเหตุการณ์ ๑๗-๒๑พฤษภาคม ๒๕๓๕ทาไมไม่ได้รับโทษทัณฑ์ใดๆ, ญาติผู้สูญหายในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ – นายทนงค์ โพธิ์อ่าน
– ๓จังหวัดชายแดนภาคใต้ – ทนายสมชาย นีละไพจิตร
ทาไมไม่ได้รับความยุติธรรมในปัจจุบัน เหตุใดผู้ใช้นโยบายก่อให้เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไม่ต้องรับผิดชอบใน
กระบวนการยุติธรรม เหตุการณ์เมษา-พฤษภาเลือด ๒๕๕๓มีคนตายกลางเมืองหลวงมากมายแต่ไม่มีผู้รับผิดชอบ,
คงมิพักต้องกล่าวถึงย้อนหลังประวัติศาสตร์อีกมากมาย ตั้งแต่สมัยสฤษดิ์
ธนรัชต์, ถนอม กิตติขจร หรือกระทั่งยุค “ไม่มีอะไรที่ตารวจไทยทาไม่ได้ ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้” ในสมัยเผ่า
ศรียานนท์ ซึ่งมีการกระทาป่าเถื่อนมากมาย โดยเฉพาะการอุ้มฆ่า ๔รัฐมนตรี และจนบัดนี้ไม่เคยมีใครรับผิดชอบ
นับจากก่อนหน้าการรัฐประหาร
ส่วนหนึ่งของปัญหาสาคัญที่นามาสู่สถานการณ์ในปัจจุบันนั้น, ในรายงานความคืบหน้าของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการ ปรองดองแห่งชาติ
หรือ คอป.ที่มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน ซึ่งเป็นการรายงานการทางานครั้งที่
๒ระหว่างวันที่ ๑๗มกราคม -๑๖กรกฎาคม ๒๕๕๔กลับเห็นว่าตั้งแต่การประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๔๐ถึงการเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อปี พ.ศ.๒๕๕๓คอป.มีข้อสรุปว่า รากเหง้าของปัญหาความขัดแย้งส่วนหนึ่งมาจากกระบวนการที่ละเมิดหลักนิติธรรม
กระบวนการประชาธิปไตย กระบวนการบังคับใช้กฎหมายที่ทุกๆ อย่างมีความอ่อนแอและขาดประสิทธิภาพ
จนนาไปสู่กระบวนการใช้อานาจนอกระบบในการแก้ไขปัญหา โดยการรัฐประหารซึ่งเป็นการละเมิดหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอย่าง
ร้ายแรง ซึ่งแทนที่จะเป็นการแก้ปัญหาแต่ในท้ายที่สุดกลับสร้างปัญหามากยิ่งขึ้น
รายงานฉบับนี้
ระบุว่า
“การละเมิดหลักนิติธรรมโดยกระบวนการยุติธรรมอันเป็นรากเหง้าของ ปัญหา เกิดจากกรณีของคาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อปี
๒๕๔๔ในคดีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทา ผิดตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๔๐มาตรา ๒๙๕หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า “คดีซุกหุ้น”
ที่ศาลรัฐธรรมนูญมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักแห่งกฎหมาย กล่าวคือ
ในทางหลักกฎหมายนั้นโดยทั่วไปในการวินิจฉัยคดีไม่ว่าของ
ศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลใดๆ ก็ตาม ศาลต้องตั้งประเด็นในประการแรกว่าคดีที่ศาลจะวินิจฉัยชี้ขาดนั้นอยู่ในอานาจ
ของศาลหรือไม่ อันเป็นประเด็นในเรื่อง “เงื่อนไขให้อานาจดาเนินคดี”
(Prerequisite for prosecution) ซึ่งเป็น “เงื่อนไขที่ต้องพิจารณาก่อน”
(prerequisite) และหากศาลเห็นว่าคดีอยู่ในอานาจของศาลแล้วประเด็นที่จักต้องวินิจฉัยต่อไปก็
คือว่า ผู้ถูกกล่าวหาได้กระทาตามที่ถูกกล่าวหาหรือไม่ อันเป็นประเด็นในเนื้อหาของคดีใน
“คดีซุกหุ้น”ดังกล่าวนี้แม้ศาลรัฐธรรมนูญในขณะนั้นจักได้วินิจฉัยในประเด็น
“เงื่อนไขให้อานาจดาเนินคดี”(Prerequisite for prosecution) ซึ่งเป็น “เงื่อนไขที่ต้องพิจารณาก่อน”
(prerequisite) ไว้ถูกต้องแล้ว
โดยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจานวน
๑๑คนเห็นว่าเป็นคดีที่อยู่ในอานาจของศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจานวน ๔คนเห็นว่าคดีดังกล่าวไม่อยู่ในอานาจของศาลรัฐธรรมนูญที่จะวินิจฉัยก็ตามในชั้นพิจารณาชี้ขาดในเนื้อหาของคดีนั้น
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจานวน ๗คน ได้วินิจฉัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรได้ทาการซุกหุ้นจริง ส่วนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจานวน
๖คน วินิจฉัยว่า พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตรไม่ได้กระทาผิดในข้อกล่าวหา แต่ที่น่าประหลาดก็คือตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจานวนอีก
๒คนที่เคยลงมติว่าคดีไม่อยู่ในอานาจของศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้ลงไปวินิจฉัย ชี้ขาดในเนื้อหาของคดีแต่อย่างใด
เท่านั้นไม่พอศาลรัฐธรรมนูญเองยังได้นาเอาคะแนนเสียง ๒เสียงหลังนี้ไปรวมกับคะแนนเสียงจานวน
๖เสียงที่วินิจฉัยว่า พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้กระทาผิดในข้อกล่าวหาว่า “ซุกหุ้น”
แล้วศาลรัฐธรรมนูญได้สรุปเป็นคาวินิจฉัยชี้ขาดยกฟ้อง
การปฏิบัติของศาลรัฐธรรมนูญในคดีดังกล่าวนี้จึงมีความไม่ชอบมาพา
กลที่ยากที่ประชาชนทั่วไปจะเข้าใจได้ ทั้งบรรยากาศของบ้านเมืองในขณะนั้นดูจะไม่เอื้อต่อการที่จะทาความเข้าใจใน
หลักกฎหมายดังกล่าวนี้ด้วย เพราะกระแสสังคมในบ้านเมืองในระหว่างการดาเนิน“คดีซุกหุ้น”นั้น เป็นไปในทิศทางที่มีการคาดหวังในตัวบุคคลอย่างรุนแรงมากจนทาให้ ศาลรัฐธรรมนูญเกิดหวั่นไหวเลยทีเดียว
การที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
๒คน ไม่วินิจฉัยชี้ขาดในเนื้อหาของคดีก็ดี และการที่ศาลรัฐธรรมนูญเองได้นาเอาคะแนนเสียง
๒เสียงเข้าไปบวกรวมกับคะแนนเสียง ๖เสียงก็ดี เป็นการปฏิบัติที่ผิดหลักกฎหมายโดยแท้
กล่าวคือ ทาให้เกิดความผิดพลาด ๒ประการ คือ เป็นความผิดพลาดของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
๒คนที่ไม่วินิจฉัยชี้ขาดในเนื้อหาของคดีซึ่งเท่ากับเป็นการไม่ทาหน้าที่ ตุลาการของตน
เพราะผู้พิพากษาหรือตุลาการนั้นจะไม่ทาหน้าที่ของตนไม่ได้โดยเด็ดขาด และยังเป็นความผิดพลาดของศาลรัฐธรรมนูญเองอีกด้วยที่ได้เอาคะแนนเสียง
๒เสียงไปรวมกับคะแนนเสียง ๖เสียงที่วินิจฉัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรไม่ได้กระทาความผิดตามข้อกล่าวหา ทาให้ผลของคดีดังกล่าวนี้เป็นผลที่มีความไม่ชอบมาพากล
เพราะรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐มาตรา ๓๐๓บัญญัติเหตุแห่งการถอดถอนออกจากตาแหน่งว่า
“จงใจใช้อานาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย”
ผลของการปฏิบัติที่ผิดหลักกฎหมายของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ๒คน และศาลรัฐธรรมนูญโดยรวมดังกล่าวมานั้น
จึงเป็นการบิดเบือนหรือหักดิบกฎหมาย อันเป็นจุดเริ่มต้นที่ทาให้สังคมเกิดความเคลือบแคลงในหลักนิติธรรมของประเทศ
ไทยโดยที่ ตั้งแต่ได้เกิดการบิดเบือน
หรือหักดิบกฎหมายขึ้นในคดีที่
พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาใน
“คดีซุกหุ้น”เมื่อปี ๒๕๔๔นั้น รัฐยังละเลยและไม่ได้เข้าไปตรวจสอบถึงรากเหง้าของความไม่ชอบมาพากลหรือความ
ที่น่ากังขาของเรื่องนี้แต่อย่างใด ดังนั้น คอป.จึงขอเสนอแนะให้รัฐและสังคมได้ตรวจสอบการยึดถือปฏิบัติตาม”
รัฐธรรมนูญ
๒๕๕๐
ฐานะของประชาชนในอดีต
เราได้เพียงเคยคาดหวังว่า รัฐธรรมนูญจะจัดวางพื้นที่ให้ คือสิทธิพลเมืองและชุมชน บวกกับพื้นที่สิทธิทางเศรษฐกิจ
ซึ่งที่ผ่านมาถูกเลือกปฏิบัติในการหยิบใช้ ซึ่งนั่นทาให้เราต้องทบทวนว่า เราไม่อาจหวังให้รัฐธรรมนูญของชนชั้นนามาปฏิรูปการเมืองไทยได้
เพราะเขาจะไม่ยอมปฏิรูปตนเอง ยิ่งการเมืองแตกเป็นสองขั้ว ฝ่ายใดช่วงชิงได้มากกว่าก็เพื่อทาลายฝ่ายตรงข้ามนั่นเอง
ดังนั้น รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันก็มุ่งทาลายประสบการณ์ “เผด็จการนายทุน”
ในนาม
“ระบอบทักษิณ” โดยขั้วทางการเมืองฝ่ายทหารในนาม “อมาตยาธิปไตย”
และภาคประชาชนส่วนหนึ่งที่มีมูลเหตุจูงใจทางการเมืองที่จะสังกัดขั้วทางการเมือง (politicize)ท่ามกลางรัฐธรรมนูญที่ถูกออกแบบมาเพื่อฐานะดังกล่าว ภาคพลเมืองจะหยิบใช้และต่อสู้อย่างไรเพื่อฐานะของตนเอง
จึงเป็นสิ่งที่ท้าทายต่อขบวนการภาคประชาชนไทย ที่จะหยิบใช้สถานการณ์อย่างไร
เมื่อพิจารณาความสัมพันธ์ทางอานาจในรัฐธรรมนูญ
๒๕๕๐ที่จะยึดโยงว่า “อธิปไตยเป็นของปวงชน” (ซึ่งหมายถึงเรา)ทั้งในนิยามแห่งอานาจและการปฏิบัติการทางอานาจนั้น เรากลับพบว่า แม้รัฐธรรมนูญจะมีหลายมาตราที่ก้าวหน้าและดีขึ้นเมื่อเปรียบเทียบบางมาตรา
ของรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐โดยเฉพาะในหมวดสิทธิเสรีภาพ แต่ที่ล้าหลังไปมากกว่าเก่าในนิยามแห่งอานาจที่กล่าวมานั้น
และไม่อาจยอมรับได้ก็คือ
๑.รัฐธรรมนูญฉบับนี้
ถ่ายโอนอธิปไตยของปวงชนชาวไทยสู่ระบอบ “รัฐข้าราชการ”
โดยเฉพาะฝ่ายตุลาการมากเกินไป
ในนาม “อานาจทางการเมือง” ทั้งที่ฝ่ายตุลาการควรมีอานาจทางกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมเท่านั้น
จนพื้นที่ทางอานาจของประชาชนแทบจะไม่มีหลงเหลืออยู่ในรัฐธรรมนูญ หากนับการถ่ายโอนอานาจของประชาชนแก่ผู้แทนราษฎร(ส.ส.) และสมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) บางส่วนเท่านั้น เนื่องเพราะมีการทาลายความสมดุลของอานาจอธิปไตยทั้ง
๓ ฝ่าย คือ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ โดยให้ฝ่ายนิติบัญญัติมาจากการแต่งตั้งส่วนหนึ่ง
(ม.๑๑๑) โดยคณะกรรมการสรรหาซึ่งส่วนใหญ่มาจากฝ่ายตุลาการ
ทาให้ความสัมพันธ์ทางอานาจไขว้กันไปมาและตัดทอนอธิปไตยของปวงชนอย่างชัดเจน
การให้มีวุฒิสภามาจากการเลือกตั้ง
๗๖คน อีก ๗๔คนมาจากการแต่งตั้งซึ่งเกือบครึ่งหนึ่งนั้น จะไม่เป็นปัญหามากหากอานาจของวุฒิสภา(ส.ว.) ไม่มีอานาจในการถอดถอนผู้ดารงตาแหน่งทางการเมืองซึ่งมาจากการเลือกตั้งของ
ประชาชน หรือมีอานาจในการกลั่นกรองกฎหมาย ซึ่งเกี่ยวกันกับกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญจานวนมาก
รวมทั้งยังมีอานาจหน้าที่ในการแต่งตั้งตาแหน่งสาคัญในองค์กรอิสระตาม รัฐธรรมนูญและองค์กรอื่น
ซึ่งทาให้วุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้งมีบทบาทสาคัญสูงในการกาหนดโครงสร้าง ดังที่ ศ.รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ สรุปว่า กลุ่มพลังอามาตยาธิปไตยจะสามารถมากาหนดกฎเกณฑ์
กากับ ตรวจสอบ และควบคุมสังคมการเมืองไทยได้
นอกจากนี้รัฐธรรมนูญฉบับประชามติ
ยังให้องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญมาจากกระบวนการสรรหาของฝ่ายตุลาการเป็นส่วน ใหญ่ ทั้งยังต้องผ่านความเห็นชอบหรือกลั่นกรองจากฝ่ายนิติบัญญัติที่ไม่ได้มาจาก
การเลือกตั้งด้วยเช่นกัน
(กกต. ม.๒๓๑, ผู้ตรวจการฯ ม.๒๔๓, ป.ป.ช. ม.๒๔๖,
กสม. ม.๒๕๖) ซึ่งทาให้ขัดแย้งหลักอานาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทยตามมาตรา ๓เพราะตัดขาดการยึดโยงอานาจของประชาชน
นาพาระบอบประชาธิปไตยรับใช้ “รัฐข้าราชการ” เต็มที่โดยกฎหมายรัฐธรรมนูญ
อย่าลืมว่า
ฐานะของภาคประชาชน เราไม่อาจปฏิรูปการเมือง โดยไม่ “ปฏิรูปการเมืองเชิงโครงสร้าง” -แห่งอานาจ ที่จะมองเห็นฐานะภาคประชาชนพลเมืองเป็นเจ้าของอธิปไตยได้ในระบบรัฐ
และการเมืองบนท้องถนนก็เป็นส่วนกดดันที่จะเติมเต็มฐานะนี้ สังคมไทยถึงจะมี “ประชาธิปไตยทางการเมือง และระบบเศรษฐกิจแบบรัฐสวัสดิการ” ได้อย่างแท้จริง
โดยสรุป
๑. มี การบิดเบือนอานาจอธิปไตยของประชาชน
ทั้งในนิยามแห่งอานาจและการปฏิบัติการทางอานาจ โดยยึดเอา อธิปไตยของประชาชนส่วนหนึ่งที่ยึดโยงกับนักการเมืองผ่านการเลือกตั้งมาให้
แก่ข้าราชการตุลาการ โดยการตีความมุมแคบจากประสบการณ์ทางสังคมที่พบว่านักการเมืองเป็นข้าทาสของ
นายทุนและใช้อานาจรัฐซึ่งต้องควบคุมเต็มที่ แต่ไม่ได้ตระหนักว่า นักการเมืองคือฐานะหนึ่งของผู้แทนอธิปไตยของประชาชน
และไม่ยอมตีความว่า “ศาลก็คืออานาจรัฐหนึ่ง” ซึ่งไม่ได้ยึดโยงกับประชาชนแต่อย่างใด
จึงนามาซึ่งรัฐธรรมนูญที่สรุปได้ว่า “ลดอานาจรัฐ เพิ่มอานาจข้าราชการ”
ที่อยู่ของภาคประชาชนคือการให้สิทธิเสรีภาพมากขึ้นแต่มีเงื่อนไขหากมีกฎหมายและพระราชบัญญัติลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามมา
๒.การนิรโทษกรรมตามมาตรา
๓๐๙ โดยให้บรรดาการใดๆ
ที่รับรองตามรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๙ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญนี้ รวมทั้งการกระทาเกี่ยวเนื่องกับกรณีดังกล่าวไม่ว่าก่อนและหลังรัฐธรรมนูญ
๒๕๕๐ประกาศใช้ให้ชอบด้วยรัฐธรรมนูญนั้น ซึ่งอาจทาให้รัฐธรรมนูญ ๒ฉบับทับซ้อนทางอานาจกัน
และทาให้อานาจของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ตามมาตรา ๓๔ของรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๙ยังคงอยู่ รวมทั้งประกาศของคณะปฏิรูปการปกครองฯ
(คปค.) (ตามม.๓๖-๓๗, รธน.๒๕๔๙) ยังมีผลทางอานาจอยู่ โดยตุลาการศาลฎีกาไม่สามารถนามาตีความหรือวินิจฉัยตามหลักนิติธรรมได้อีกต่อ
ไปเพราะไปบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ว่า“ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ”
แล้ว ซึ่ง เรื่องนี้เข้าใจว่าเป็นการนิรโทษกรรมตนเองสืบเนื่องเพราะคณะรัฐประหารและผู้
ใช้อานาจสืบเนื่องกลัวการถูก “เอาคืน” ทางการเมือง
แม้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ๒๕๔๙จะนิรโทษกรรมให้แล้วก็ตาม แต่การบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญเช่นนี้
นอกจากสะท้อนว่าการเมืองไทยจะไม่มีความสงบอีกพักใหญ่และจะนาพาสังคมสู่ บรรยากาศแห่งการแตกแยกอีกระยะหนึ่งแล้ว
อันตรายของรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะทาลายกระบวนการยุติธรรมไทยในอนาคต และทาลายการพยายามจะสร้างบรรทัดฐานทางการเมืองไทยให้เกิดขึ้นด้วยเช่นกัน
เพราะไม่สามารถนามาวินิจฉัยในกระบวนการยุติธรรมได้
เนื้อหาเพิ่มเติม คลิกที่https://www.youtube.com/results?
เนื้อหาเพิ่มเติม คลิกที่https://www.youtube.com/results?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น